บล.ฟิลลิป แนะซื้อ wice ปรับเป้าปีนี้ 7 บาทต่อหุ้น พร้อมลุยงานโครงการ ขยายธุรกิจต่อเนื่อง สร้างการเติบโตในอนาคต

บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ปรับราคาพื้นฐานขึ้นเป็น 7 บาท ยังคงคำาแนะนำ “ซื้อ” จากอัตราค่าขนส่งแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น ด้านบริษัทพร้อมลุยงานโครงการขนส่งเชื้อเพลิงชีวมวลอัดแท่ง และขนส่งเมล็ดกาแฟดิบจากOR พร้อมส่งสัญญาณครึ่งปีหลังโตตามเป้าหลังอัตราค่าระวางเรือปรับตัวดีขึ้นและปริมาณการขนส่งเชื่อแนวโน้มดีขึ้นพร้อมรับรู้รายได้จากการขยายธุรกิจและการลงทุนในโปรเจคต่างๆต่อเนื่องคาดทั้งปีโตไม่ต่ำกว่า20%

บริษัท หลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด มหาชน คาด 2H67 แนวโน้มกำไรดีขึ้นจาก 1H67 และดีกว่า 2H66 มากจากฐานต่ำในปีก่อน โดยอัตราค่าขนส่งทั้งทางทะเล และทางอากาศ มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นรวมถึงปริมาณการขนส่งเพิ่มขึ้นตามฤดูกาลนอกจากนี้จะรับรู้รายได้โครงการใหม่  2 โครงการและการจัดตั้งบริษัทย่อยเพิ่มแห่งที่  5  ในจีน  และในประเทศฟิลิปปินส์ ปรับกําไรปีนี้ขึ้น 14.8% เป็น 241 ล้านบาท +41.4%  y-y และปรับราคาพื้นฐานเป็น 7 บาท ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ

ด้านนายชูเดชคงสุนทรกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจบริษัทไวส์โลจิสติกส์จำกัด (มหาชน) หรือ WICEผู้ให้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศแบบครบวงจรเปิดเผยว่า ความคืบหน้าในโครงการต่างๆเช่นธุรกิจการให้บริการขนส่งเชื้อเพลิงชีวมวลอัดแท่งจากสปป.ลาวมายังท่าเรือแหลมฉบังเพื่อส่งอกไปยังประเทศญี่ปุ่นนั้นอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมของโรงงานที่สปป.ลาวคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในช่วงไตรมาส4 และจะสร้างรายได้ประมาณ150 ล้านบาทต่อปีส่วนโครงการให้บริการขนส่งเมล็ดกาแฟดิบจากบริษัทปตท.น้ำมันและการค้าปลีกจำกัด (มหาชน) หรือOR ซึ่งเป็นโครงการทดลองระบบการขนส่งระยะไกลด้วยยานยนต์เชื้อเพลิงไฟฟ้า (EV) ที่จะทยอยรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส3

ทำให้แนวโน้มธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังปี2567 เป็นไปตามเป้าหมายที่บริษัทคาดการณ์ไว้จากอัตราค่าระวางที่ปรับตัวดีขึ้นและผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วพร้อมปริมาณการขนส่งที่เพิ่มขึ้นทั้งทางเรือและทางอากาศตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าทั้งสหรัฐอเมริกาและประเทศจีนทำให้เห็นปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนประกอบกับการขยายธุรกิจของบริษัทที่คาดว่าจะเริ่มทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้รวมไปถึงการจัดตั้งบริษัทย่อยที่ประเทศฟิลิปปินส์และประเทศจีนเพื่อขยายช่องทางการให้บริการและฐานลูกค้าและการขยายพื้นที่ในการบริหารคลังสินค้าใหม่เพิ่มขึ้นซึ่งบริษัทคาดการณ์รายได้ปีนี้จะเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า20% จากปีก่อน

“ปีนี้สถานการณ์ของธุรกิจขนส่งทั้งปริมาณการส่งขนและค่าระวางน่าจะกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติจากที่ช่วงหลังโควิดค่าระวางปรับขึ้นค่อนข้างแรงและต่อมามีการปรับตัวลงแรงในช่วงปี66 ซึ่งมองว่าน่าจะเป็นจุดต่ำสุดแล้วหลังจากนี้น่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นขณะที่ครึ่งปีหลังถือว่าเป็นช่วงไฮซีซันจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ภาพรวมในปีนี้น่าจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ไม่น้อยกว่า20% “ นายชูเดชกล่าว

Visitors: 8,041,912