มาสเตอร์การ์ดแต่งตั้ง วินนี่ วอง เป็นผู้จัดการประจำประเทศไทยและเมียนมา
กรุงเทพฯ ประเทศไทย – 20 สิงหาคม 2567 –มาสเตอร์การ์ดประกาศแต่งตั้งวินนี่ วอง (Winnie Wong) เข้าดำรงตำแหน่งผู้จัดการประจำประเทศไทยและเมียนมา
โดยวินนี่ วอง จะประจำการอยู่ที่กรุงเทพฯ ทำหน้าที่รับผิดชอบดูแลการดำเนินงานของมาสเตอร์การ์ดทั้งหมดในประเทศไทยและเมียนมา ซึ่งครอบคลุมไปถึงการพัฒนาธุรกิจ การนำเสนอโซลูชันการชำระเงินใหม่ๆ ที่มีความปลอดภัยและชาญฉลาดให้กับธุรกิจและผู้บริโภค รวมถึงการขับเคลื่อนการเติบโตและการให้บริการโซลูชันเชิงพาณิชย์ให้แก่ผู้ใช้ในภาคธุรกิจและภาควิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)
วินนี่มีประสบการณ์กว่า 20 ปีในด้านโซลูชันเชิงพาณิชย์ การชำระเงินและการธนาคารในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งครอบคลุมตลาดเวียดนาม สิงคโปร์ และมาเลเซีย ตั้งแต่เข้าร่วมงานกับมาสเตอร์การ์ดในปี 2556 เธอได้ร่วมมือกับรัฐบาลและองค์กรต่าง ๆ ในการนำแพลตฟอร์ม B2B มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความโปร่งใสในการค้าระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
นายซาฟดาร์ คาน ประธานฝ่ายภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาสเตอร์การ์ด ได้กล่าวถึงการเข้าดำรงตำแหน่งของวินนี่ว่า “ประสบการณ์ที่หลากหลายของวินนี่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อมาสเตอร์การ์ดในประเทศไทยและเมียนมา ความเชี่ยวชาญของเธอในด้านการชำระเงินดิจิทัลและโซลูชันเชิงพาณิชย์ รวมถึงความเป็นผู้นำในโครงการเชิงกลยุทธ์ในภูมิภาค จะมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย การเติบโตของภาคธุรกิจ SME และการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมไร้เงินสด”
การย้ายตำแหน่งมาประจำที่ประเทศไทยของวินนี่ในครั้งนี้นับเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่ง เนื่องจากประเทศไทยกำลังเร่งขับเคลื่อนธุรกิจดิจิทัล และให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการเติบโตของภาคธุรกิจSMEsโดยคาดว่าเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยจะมีมูลค่าถึง 100-165 พันล้านดอลลาร์สหรัฐและการชำระเงินดิจิทัลจะเติบโตถึง 310 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 25731 ขณะเดียวกันจำนวนผู้ประกอบการธุรกิจในประเทศไทยเป็น SMEsประมาณ 99.5%ของจำนวนธุรกิจทั้งหมดโดยกระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าผลักดันให้ธุรกิจ SMEs มีมูลค่าทางเศรษฐกิจคิดเป็นสัดส่วน 40% ต่อ GDP ภายในปี 25702 จากปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ 35% โดยการเข้าดำรงตำแหน่งของวินนี่ในครั้งนี้ เธอสามารถนำประสบการณ์ที่เชี่ยวชาญของเธอในด้านโซลูชันการชำระเงินเชิงพาณิชย์มาใช้ในการส่งมอบโซลูชันดิจิทัลที่ทันสมัยสำหรับ SMEs และผลักดันการเติบโตของธุรกิจเหล่านี้ได้
วินนี่ วอง ผู้จัดการประจำประเทศไทยและเมียนมา มาสเตอร์การ์ด กล่าวว่า “ดิฉันรู้สึกเป็นเกียรติและภาคภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่ในตำแหน่งนี้ รวมถึงได้ร่วมงานกับทีมงานที่ทุ่มเทของมาสเตอร์การ์ดในประเทศไทยและเมียนมา ดิฉันยังตั้งตารอที่จะได้ร่วมมือกับลูกค้าและพันธมิตรของมาสเตอร์การ์ด เพื่อร่วมกันสร้างอนาคตของการชำระเงินและนวัตกรรมดิจิทัลในประเทศไทยและสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ นอกจากนี้ ดิฉันยังรู้สึกตื่นเต้นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการสร้างระบบเศรษฐกิจดิจิทัล ผ่านนวัตกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลที่สร้างสรรค์ ปลอดภัย และครอบคลุม ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทุกคน ไม่ว่าจะเป็นรายบุคคลหรือภาคธุรกิจ”
ก่อนเข้าดำรงตำแหน่งผู้จัดการประจำประเทศไทยและเมียนมา วินนี่เคยได้รับการแต่งตั้งในปี 2562 ให้ดำรงตำแหน่งผู้จัดการประจำประเทศเวียดนาม ลาว และกัมพูชา โดยตลอดหกปีที่ผ่านมา วินนี่มีบทบาทสำคัญในการสร้างระบบการชำระเงินที่ปลอดภัยในประเทศ และมีส่วนสำคัญในการร่วมงานกับหน่วยงานกำกับดูแลและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการสร้างสังคมไร้เงินสดและเสริมสร้างความครอบคลุมทางการเงินในประเทศเวียดนาม
นอกจากนี้ วินนี่ยังมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนความมุ่งมั่นระดับโลกของมาสเตอร์การ์ดในส่งเสริมบทบาทของผู้หญิงในสังคม ผ่านการริเริ่มและผลักดันโครงการหลายโครงการที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างศักยภาพของผู้หญิง เช่น โครงการ Mastercard Strive Women ในเวียดนาม ร่วมกับ CARE องค์กรด้านมนุษยธรรมระหว่างประเทศในการเสริมสร้างสุขภาพทางการเงินและความยืดหยุ่นของธุรกิจโดยเฉพาะผู้ประกอบการหญิงในธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งมีเป้าหมายที่จะเข้าถึงผู้ประกอบการหญิงสองล้านรายในเวียดนามภายใน 4 ปี นอกจากนี้ วินนี่ยังดำรงตำแหน่งรองประธานของหอการค้าอเมริกันในเวียดนามอีกด้วย
การแต่งตั้งวินนี่เป็นการเข้ามารักษาการในตำแหน่งแทนนายโจนาธาน วูด หลังมีความจำเป็นต้องเดินทางกลับไปยังสหราชอาณาจักรด้วยเหตุผลส่วนตัว
“ผมขอขอบคุณโจนาธานที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมกับมาสเตอร์การ์ดในประเทศไทยและเมียนมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา แม้เรากำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านแต่ผมมั่นใจว่าวินนี่จะสามารถสานต่อความสำเร็จของเราในสองตลาดนี้ได้ เช่นเดียวกับที่เธอเคยทำสำเร็จมาแล้วในเวียดนาม กัมพูชา และลาว พร้อมเดินหน้านำมาสเตอร์การ์ดไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ยิ่งขึ้น” นายซาฟดาร์ คาน กล่าวเสริม