ส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร Q2/2567 ขยายตัวต่อเนื่อง คาดส่งออกในปี 2567 ยังขยายตัวได้ แต่อาจเผชิญความเสี่ยงจากสงครามการค้ารอบใหม่

Key Highlights

=มูลค่าส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในไตรมาส 2 อยู่ที่ 14,639 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 5.3 แสนล้านบาท) ขยายตัวต่อเนื่องที่ 5.8%YoY หลังจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัว 0.3%YoY โดยสินค้าที่ขยายตัว ได้แก่ ข้าว ไก่ ยางพารา อาหารสัตว์เลี้ยง สิ่งปรุงรสอาหาร และอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ส่วนสินค้าที่หดตัว ได้แก่ มันสำปะหลัง ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้ง และน้ำตาลทราย

=สำหรับสินค้าที่ขยายตัวดี ได้แก่ ข้าว (53.0%YoY) เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากความกังวลด้านความมั่นคงทางอาหาร และนโยบายจำกัดการส่งออกข้าวของอินเดีย ส่วนยางพารา (37.3%YoY) ปรับตัวขึ้นจากราคาส่งออกที่เพิ่มขึ้นมาก ขณะที่อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป (4.1%YoY) ได้รับผลบวกจากความต้องการนำเข้าในตลาดตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น จากความกังวลต่อภาวะสงคราม

=Krungthai COMPASS มองว่า ในปี 2567 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรไทยจะยังขยายตัวได้ แต่มีปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดได้แก่ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนรอบใหม่ อาจกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรไทยที่เป็นห่วงโซ่อุปทานของจีน รวมถึงความท้าทายจากการแข่งขันในตลาดจีนที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีแรงกดดันจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนค่าขนส่ง ค่าจ้างแรงงาน และมาตรการสิ่งแวดล้อมของประเทศคู่ค้า ซึ่งอาจกดดันอัตรากำไรของผู้ประกอบการ

การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในไตรมาส 2 ปี 2567 ขยายตัวต่อเนื่อง

ภาพรวมการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในไตรมาสที่ 2 ปี 2567 ขยายตัวต่อเนื่องที่ 5.8%YoY เทียบกับไตรมาสก่อนที่ขยายตัว 0.3%YoYการส่งออกไปตลาดสำคัญอย่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 9% และ 7% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัวต่อเนื่องที่ 16.1%YoY และ 16.1%YoY ตามลำดับ การขยายตัวดังกล่าวส่วนหนึ่งเกิดจากฐานที่ต่ำในปีก่อน ประกอบกับแรงหนุนจากความกังวลด้านความมั่นคงทางอาหาร ทำให้ความต้องการนำเข้าสินค้าในกลุ่มอาหารเพิ่มขึ้น เช่น ข้าว ไก่แปรรูป อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เป็นต้น

อย่างไรก็ดี การส่งออกไปยังตลาดจีนซึ่งเป็นตลาดใหญ่สุด คิดเป็นสัดส่วน 27% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรหดตัวต่อเนื่องที่ -3.6%YoY จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง ส่งผลกระทบต่อการส่งออกกุ้ง ซึ่งเป็นสินค้าที่มีราคาสูงเมื่อเทียบกับเนื้อสัตว์ทั่วไป ประกอบกับผลกระทบของภัยแล้งที่ทำให้ผลผลิตผลไม้ออกสู่ตลาดลดลง

หมวดสินค้าเกษตรขยายตัวต่อเนื่องที่ 8.3%YoY(สัดส่วนราว 54% ของมูลค่าส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรทั้งหมด) โดยกลุ่มสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ข้าว (53.0%YoY) ไก่ (4.2%YoY) และยางพารา (37.3%YoY) การขยายตัวส่วนหนึ่งเกิดจากฐานที่ต่ำในปีก่อน และราคาส่งออกที่เพิ่มขึ้นมาก ขณะที่กลุ่มสินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ มันสำปะหลัง (-10.4%YoY) และผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้ง (-3.5%YoY) เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง

ด้านหมวดสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรพลิกกลับมาขยายตัว 2.4%YoY(สัดส่วนราว 46%) โดยกลุ่มสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ อาหารสัตว์เลี้ยง (33.3%YoY) สิ่งปรุงรสอาหาร (8.4%YoY) และอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป (4.1%YoY) การขยายตัวส่วนหนึ่งเกิดจากฐานที่ต่ำในปีก่อน ประกอบกับความต้องการนำเข้าอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปในตลาดตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น จากความกังวลต่อสงครามระหว่างอิหร่านและอิสราเอลที่ยืดเยื้อ ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัวแรง ได้แก่ น้ำตาลทราย (-39.5%YoY) ส่วนหนึ่งจากฐานที่สูงในปีก่อน เนื่องจากราคาส่งออกในปีที่แล้วที่ปรับเพิ่มขึ้นมาก

สถานการณ์การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในกลุ่มสินค้าสำคัญ

การส่งออกข้าวไตรมาส 2 ขยายตัวต่อเนื่อง

มูลค่าการส่งออกข้าวไตรมาสที่ 2 ปี 2567 ขยายตัวต่อเนื่องที่ 53.0%YoY จากปริมาณการส่งออกข้าวโดยรวมที่ขยายตัว 31.4%YoY และราคาส่งออกข้าวเฉลี่ยโดยรวมที่มีการปรับเพิ่มขึ้น 16.5%YoYโดยเฉพาะราคาส่งออกข้าวขาว 5% ที่ปรับเพิ่มขึ้นถึง 21.4%YoY จากนโยบายการจำกัดการส่งออกข้าวของอินเดีย รวมถึงยังได้รับอานิสงส์จากความกังวลด้านความมั่นคงทางอาหาร ประกอบกับปริมาณการส่งออกที่ขยายตัว 20.5%YoY ทำให้มูลค่าการส่งออกข้าวขาว 5% ยังคงขยายตัวดีที่ 51.7%YoY

เช่นเดียวกับมูลค่าการส่งออกข้าวหอมมะลิที่ขยายตัว 22.6%YoY จากปริมาณการส่งออกที่ขยายตัว 21.0%YoY จากฐานที่ต่ำในปี 2566 เป็นหลัก ประกอบกับราคาส่งออกที่ปรับขึ้น 1.3%YoY จากอานิสงส์ของเอลนีโญในช่วงครึ่งปีแรก แต่ปรับเพิ่มขึ้นน้อยกว่าข้าวชนิดอื่น เนื่องจากยังคงมีการแข่งขันกับข้าวชนิดอื่นในตลาดส่งออก เช่น ข้าวพันธุ์พื้นนุ่มของเวียดนามที่มีราคาถูกและรสชาติดี

มูลค่าการส่งออกยางพาราไตรมาส 2 ยังคงขยายตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3

มูลค่าส่งออกยางแผ่นและยางแท่งไตรมาสที่ 2 ปี 2567 ขยายตัว 40.7%YoYเนื่องจากปริมาณการส่งออกไปยังตลาดสำคัญส่วนใหญ่ขยายตัว ไม่ว่าจะเป็นจีนซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักอันดับ 1 คิดเป็น 39.8% ของการส่งออกยางแผ่นยางแท่งทั้งหมดของไทยขยายตัว 30.6%YoY รวมทั้งสหรัฐที่เพิ่มขึ้น 28.8% และญี่ปุ่นที่เพิ่มขึ้น 62.0%YoY ตามลำดับ ส่วนหนึ่งมาจากฐานที่ต่ำในปีก่อน รวมทั้งยังได้รับอานิสงส์จากยอดขายยานยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกในไตรมาสที่ 2 ที่ขยายตัว 22.0%YoY ขณะที่ราคาส่งออกปรับตัวเพิ่มขึ้น 22.4%YoY จากผลกระทบของปรากฎการณ์เอลนีโญในช่วงครึ่งปีแรก ทำให้ปริมาณน้ำยางในตลาดโลกลดลง ส่งผลให้อุปทานยางพาราต่ำกว่าความต้องการใช้ยางพาราของโลก

มูลค่าส่งออกน้ำยางข้นเพิ่มขึ้น 25.3%YoYตามราคาส่งออกปรับตัวเพิ่มขึ้น 35.4%YoY ซึ่งเป็นผลจากสภาวะเอลนีโญในช่วงครึ่งปีแรกเช่นกัน แต่ปริมาณส่งออกน้ำยางข้นลดลง -7.5%YoY ตามการส่งออกไปจีนซึ่งคิดเป็น 35.0% ของตลาดส่งออกน้ำยางข้นทั้งหมดหดตัวลงถึง -48.8%YoY เนื่องจากความกังวลปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ที่อาจกระทบการส่งออกถุงมือยางจากจีนไปสหรัฐฯ ทำให้จีนชะลอนำเข้าน้ำยางข้นซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตถุงมือยาง

มูลค่าส่งออกมันสำปะหลังไตรมาส 2 หดตัวต่อเนื่อง

มูลค่าส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังทั้งหมดในไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 อยู่ที่ 779 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัว -10.4%YoYโดยมูลค่าส่งออกมันเส้นและมันอัดเม็ดอยู่ที่ 162 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 5,844 ล้านบาท) หดตัว -54.9%YoY และในแง่ปริมาณหดตัว -68.7%YoY เพราะเผชิญปัญหาวัตถุดิบไม่เพียงพอต่อการแปรรูปเพื่อส่งออก เนื่องจากปัญหาภัยแล้ง และบางพื้นที่ยังประสบปัญหาโรคใบด่าง ทำให้ผลผลิตได้รับความเสียหาย ส่วนมูลค่าส่งออกแป้งมันสำปะหลังอยู่ที่ 603 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 21,805 ล้านบาท) ขยายตัว 22.3%YoY และในแง่ปริมาณขยายตัว 27.7%YoY โดยแม้ไตรมาสที่ 2 ปี 2567 มูลค่าส่งออกแป้งมันสำปะหลังขยายตัวได้ แต่ก็เป็นผลจากฐานที่ต่ำในปีก่อน

สำหรับสถานการณ์ราคาส่งออกมันสำปะหลังในไตรมาสที่ 2 ปรับลดลง โดยมันเส้นและมันอัดเม็ดลดลง -14.3%YoY เนื่องจากราคาแอลกอฮอลล์ที่ใช้มันเส้นเป็นวัตถุดิบในจีนปรับตัวลดลงเช่นเดียวกับราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลังที่ลดลง เนื่องจากต้องแข่งขันกับราคาแป้งข้าวโพดจีนที่มีราคาถูกกว่ามาก

การส่งออกผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้งไตรมาส 2 หดตัวต่อเนื่อง

มูลค่าการส่งออกผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้งไตรมาสที่ 2 ปี 2567 หดตัวต่อเนื่องที่ -3.5%YoY จากการส่งออกไปจีนซึ่งเป็นตลาดหลักหดตัว -3.9% YoY[1] โดยมูลค่าการส่งออกทุเรียนหดตัว -1.4%YoY[2] จากปริมาณการส่งออกที่หดตัว -8.3%YoY ส่วนหนึ่งจากฐานที่สูงในปีก่อน ประกอบกับผลกระทบของภัยแล้งในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ทำให้ผลผลิตผลไม้ออกสู่ตลาดลดลงกระทบต่อปริมาณผลผลิตเพื่อส่งออก อีกทั้ง การส่งออกทุเรียนไปตลาดจีนเผชิญการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงมากขึ้น สะท้อนจากราคาส่งออกทุเรียนอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าราคาส่งออกทุเรียนเฉลี่ยในช่วงเดียวกันของปี 2562-2566 เนื่องจากคู่แข่งอย่างเวียดนามขยายตลาดผลไม้ในจีนเพิ่มขึ้นกระทบการส่งออกผลไม้ของไทย

การส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูปไตรมาส 2 ขยายตัวต่อเนื่อง จากความต้องการนำเข้าของตลาดส่งออกหลักที่เพิ่มขึ้น

ภาพรวมมูลค่าการส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูปไตรมาสที่ 2 ปี 2567 ขยายตัว 4.2%YoY โดยเฉพาะไก่แปรรูปขยายตัว 10.2%YoY[3] จากตลาดส่งออกหลักอย่างสหภาพยุโรปที่ขยายตัว 12.5%YoY เพราะได้รับอานิสงส์จากความกังวลวิกฤตทะเลแดง ทำให้เร่งสั่งซื้อเนื่องจากเป็นสินค้าจำเป็นในการบริโภค ส่วนการส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งกลับมาหดตัว -7.6%YoY จากการส่งออกไปจีนที่หดตัว -20.0%YoY ส่วนหนึ่งจากฐานที่สูงในปีก่อน จากการเร่งนำเข้าของคู่ค้าเพื่อทดแทนไก่เนื้อจากการระบาดของโรคไข้หวัดนกในจีน

ทิศทางการส่งออกสินค้าเกษตรสำคัญในปี 2567-2568

ข้าว

  • คาดว่าในปี 2567 ปริมาณการส่งออกข้าวจะอยู่ที่ 9.2 ล้านตัน หรือยังคงขยายตัวราว 5.0%YoY จากปัญหาอุปทานข้าวโลกที่ตึงตัวจากปัจจัยเอลนีโญในช่วงครึ่งปีแรก ทำให้ประเทศคู่ค้ายังคงมีการสะสมสต็อกข้าว ซึ่งผลผลิตข้าวไทยยังมีเพียงพอสำหรับส่งออก เนื่องจากปัญหาภัยแล้งในช่วงครึ่งปีแรกอาจส่งผลต่อไทยน้อยกว่าที่คาด   

อย่างไรก็ตาม ช่วงครึ่งปีหลังยังต้องติดตามนโยบายจำกัดการส่งออกข้าวของอินเดียที่คาดว่าจะผ่อนคลายลงในเดือนตุลาคม เนื่องจากผลผลิตข้าวที่เพิ่มขึ้นจากอิทธิพลของลานีญา อาจทำให้ซัพพลายข้าวในตลาดโลกเพิ่มขึ้น ส่งผลต่อราคาข้าวในตลาดโลกในช่วงปลายปีมีแนวโน้มลดลง แต่โดยรวมคาดว่าราคาส่งออกข้าวขาว 5% ของไทยเฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ที่ 595 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน หรือเพิ่มขึ้น 7.0%YoY จากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น

คาดว่าจะส่งผลดีต่อรายได้โดยรวมของผู้เล่นในตลาดข้าวตั้งแต่เกษตรกร หยง รวมไปถึงผู้ส่งออกข้าว อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามปัญหาต้นทุนค่าขนส่ง ที่คาดว่ายังคงอยู่ในระดับสูงซึ่งเป็นผลกระทบจากปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งอาจกระทบความสามารถในการทำกำไรของอุตสาหกรรมข้าว

  • ส่วนในปี 2568 คาดว่า ปริมาณการส่งออกข้าวจะลดลงมาอยู่ที่ 7.8 ล้านตัน หรือลดลง -15.1%YoY โดยหากภัยแล้งในอินเดียเริ่มคลี่คลาย จะทำให้อินเดียผ่อนคลายนโยบายควบคุมการส่งออกข้าว ทำให้อานิสงส์จากการที่ผู้นำเข้าข้าวหันมานำข้าวไทยทดแทนอินเดียหมดลง ส่งผลให้ราคาข้าวในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับลดลง โดยคาดว่าราคาส่งออกข้าวขาว 5% เฉลี่ยของไทยจะอยู่ที่ 550 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน หรือลดลง -7.6%YoY

มันสำปะหลัง

  • ในปี 2567-2568 คาดว่าอุตสาหกรรมต่อเนื่องในจีนยังมีความต้องการนำเข้ามันสำปะหลัง เนื่องจากความต้องการข้าวโพดต่อสต็อกข้าวโพดของจีนที่ยังสูงอยู่ที่ราว 1.5 เท่า (สูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงปี 2562-2566 ซึ่งอยู่ที่ 1.4 เท่า) แต่ในปี 2567 ผลผลิตมันสำปะหลังไทยมีแนวโน้มจะไม่เพียงพอต่อการส่งออก เนื่องจากปัญหาภัยแล้งในไทยในช่วงครึ่งปีแรก ทำให้ผลผลิตมันสำปะหลังได้รับความเสียหายและผลผลิตมีจำกัด รวมทั้งต้องแข่งขันด้านราคากับราคาข้าวโพดในจีนที่มีราคาถูกกว่า อย่างไรก็ตาม การเข้าสู่ลานีญาในช่วงครึ่งปีหลังจะเอื้อต่อการเพาะปลูกมากขึ้น ส่วนในปี 2568 หากสภาพอากาศเอื้ออำนวย คาดว่าจะทำให้ผลผลิตกลับมาขยายตัวได้
  • จากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น คาดว่าในปี 2567 ปริมาณส่งออกมันเส้นและมันอัดเม็ดจะอยู่ที่ 2.5 ล้านตัน หรือหดตัว -45.0%YoY สำหรับราคาเฉลี่ยมันเส้นในประเทศและราคาส่งออกจะอยู่ที่ 8.1 บาท/กก. และ 230 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ตามลำดับ  (ลดลง -5.8%YoY และ  -15.4 %YoY)

ส่วนในปี 2568 ปริมาณส่งออกมันเส้นและมันอัดเม็ดคาดจะอยู่ที่ 2.7 ล้านตัน หรือขยายตัว 10.0%YoY ขณะที่ราคาเฉลี่ยมันเส้นในประเทศและราคาส่งออกจะปรับลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ 8.0 บาท/กก. และ 225 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ตามลำดับ (ลดลง -1.0%YoY และ -2.0%YoY)

  • คาดว่าในปี 2567 ปริมาณส่งออกแป้งมันสำปะหลังจะอยู่ที่ 3.7 ล้านตัน หรือหดตัว -5.0%YoY โดยแม้ปริมาณส่งออกช่วงครึ่งปีแรกจะขยายตัวได้ เนื่องจากผู้ส่งออกบางรายยังมีสต็อกเดิม แต่คาดว่าครึ่งปีหลังสต็อกเดิมที่ทยอยหมดลงจะกระทบต่อการส่งออก สำหรับราคาเฉลี่ยแป้งมันสำปะหลังในประเทศและราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลังจะอยู่ที่ 18.1 บาท/กก. และ 540 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ตามลำดับ (ลดลง -0.5%YoY และ -2.9%YoY)

ส่วนในปี 2568 ปริมาณส่งออกแป้งมันสำปะหลังคาดจะอยู่ที่ -3.9 ล้านตัน หรือขยายตัว 6.0%YoY สำหรับราคาเฉลี่ยแป้งมันสำปะหลังในประเทศและราคาส่งออกจะอยู่ที่ 18.2 บาท/กก. และ 529 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ตามลำดับ (ลดลง -2.0%YoY และ -2.0%YoY)

ยางพารา

  • ในปี 2567 คาดว่า มูลค่าส่งออกยางแผ่นและยางแท่งจะอยู่ที่ 1.5 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 58.0%YoY โดยเป็นผลจากราคาส่งออกที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 33.0%YoY เป็น 1.9 พันเหรียญสหรัฐฯ/ตัน เพราะในช่วงครึ่งปีแรกราคาส่งออกอยู่ในระดับสูง จากผลกระทบของปรากฏการณ์เอลนีโญในช่วงปลายปี 2566 ที่ทำให้ผลผลิตยางพาราโลกต่ำกว่าความต้องการใช้ยางพาราของโลก อย่างไรก็ตาม ช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าราคาส่งออกยางพาราจะมีแนวโน้มลดลง ตามผลผลิตยางพาราโลกที่ปรับเพิ่มขึ้น แต่ยังต้องติดสถานการณ์โรคใบร่วงที่ยังมีอยู่ อาจทำให้ราคาส่งออกยางปรับลดลงไม่มาก ส่วนปริมาณส่งออกจะเพิ่มขึ้น 15.0%YoY ตามภาวะอุตสาหกรรมยานยนต์โลกที่ทยอยฟื้นตัว

ส่วนในปี 2568 คาดว่า มูลค่าส่งออกยางแผ่นและยางแท่งจะอยู่ที่ 1.6 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.1%YoY โดยเป็นผลจากปริมาณการส่งออกที่เพิ่มขึ้น 5.0%YoY เป็น 2.2 ล้านตัน ตามการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์โลก ทำให้ความต้องการใช้ยางเพื่อเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมยานยนต์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่ราคาส่งออกยางพาราปรับตัวลดลง -2.9%YoY เป็น 1.5 พันเหรียญสหรัฐฯ/ตัน จากผลผลิตยางพาราโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูก

ขณะที่ในปี 2567 คาดว่า มูลค่าส่งออกน้ำยางข้นจะอยู่ที่ 3.1 หมื่นล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 13%YoY โดยเป็นผลจากราคาส่งออกน้ำยางข้นที่คาดว่าจะอยู่ที่ 52.1 บาท/กก. หรือเพิ่มขึ้น 33.0%YoY ส่วนปริมาณการส่งออกคาดจะลดลง -20.0%YoY เป็น 0.62 ล้านตัน จากฐานที่สูงในปีก่อน

ในปี 2568 คาดว่า มูลค่าการส่งออกน้ำยางข้นจะอยู่ที่ 3.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.1%YoY ตามปริมาณการส่งออกที่จะเพิ่มขึ้น 4.0%YoY โดยอยู่ที่ 0.64 ล้านตัน จากความต้องการใช้เพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตในอุตสาหกรรมยางทางการแพทย์ ขณะที่ราคาส่งออกน้ำยางข้นลดลงเท่ากับ 50.6 บาท/กก. หรือลดลง -2.9%YoY ตามผลผลิตยางพาราโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น

ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้ง

  • ในปี 2567 คาดว่า มูลค่าการส่งออกผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้งจะอยู่ที่ราว 2.28 แสนล้านบาท หรือหดตัว -4.3%YoY เนื่องจากได้รับปัจจัยกดดันด้านผลผลิตเป็นหลัก โดยแม้ราคาทุเรียนอยู่ในเกณฑ์ดีจูงใจให้เกษตรกรขยายพื้นที่เพาะปลูกทุเรียนเพิ่มขึ้นแต่สภาพอากาศที่แปรปรวน ทำให้ผลผลิตต่อไร่ของทุเรียนลดลง ประกอบกับสถานการณ์น้ำท่วมภาคตะวันออกในช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค.2567 ทำให้ผลผลิตผลไม้บางพื้นที่ได้รับความเสียหาย โดยคาดว่า ผลผลิตทุเรียนในปี 2567 จะอยู่ที่ราว 1.28 ล้านตัน หรือลดลง -13%YoY ส่งผลให้ปริมาณผลผลิตทุเรียนเพื่อส่งออกมีแนวโน้มลดลงตามไปด้วย

นอกจากนี้ การส่งออกไปจีนเผชิญปัจจัยท้าทายจากคู่แข่งที่เพิ่มขึ้น ภายหลังมาเลเซียสามารถส่งออกทุเรียนสดเข้าจีนได้ตั้งแต่เดือน มิ.ย.2567 ขณะที่เวียดนามและฟิลิปปินส์เร่งขยายการส่งออกทุเรียน ซึ่งอาจทำให้การแข่งขันด้านราคาในตลาดจีนมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นกระทบการส่งออกผลไม้ของไทย

ส่วนในปี 2568 คาดว่า มูลค่าการส่งออกผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้งจะอยู่ที่ราว 2.46 แสนล้านบาท หรือขยายตัว 7.8%YoY ส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานที่ต่ำในปีก่อน ประกอบกับปริมาณผลผลิตผลไม้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากสภาพอากาศและปริมาณน้ำที่เอื้ออำนวย อีกทั้งความต้องการบริโภคผลไม้เมืองร้อนของชาวจีนยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

อย่างไรก็ดี การแข่งขันในตลาดจีนมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น จากการเร่งขยายการส่งออกทุเรียนของประเทศคู่แข่ง ทั้งเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย รวมถึงผลผลิตทุเรียนของจีนที่จะออกสู่ตลาดมากขึ้น ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้า เพื่อให้ได้ตามมาตรฐานที่ประเทศคู่ค้ากำหนด เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันระยะยาว

ไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูป

  • ในปี 2567-2568 คาดว่า ปริมาณส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูปจะอยู่ที่ 1.12 และ 1.17 ล้านตัน หรือยายตัว 3.4%YoY และ 4.2%YoY คิดเป็นมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 146,401 และ 153,721 ล้านบาท หรือขยายตัว 4.0%YoY และ 5.0%YoY ตามลำดับ เนื่องจากการส่งออกไปยังสหภาพยุโรปมีทิศทางฟื้นตัว ตามการเติบโตของการท่องเที่ยวและธุรกิจร้านอาหาร ส่งผลให้ความต้องการนำเข้าไก่แปรรูปเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับการส่งออกไก่แปรรูปของไทยไปญี่ปุ่นที่ยังขยายตัว ตามพฤติกรรมของผู้บริโภคในญี่ปุ่นที่นิยมบริโภคอาหารพร้อมทาน

รวมทั้งการระบาดของไข้หวัดนกในญี่ปุ่นและสหภาพยุโรปจะช่วยหนุนการนำเข้าไก่เนื้อของไทยเพิ่มขึ้น สำหรับการส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งจะยังได้รับผลดีจากการระบาดของโรคไข้หวัดนกในจีน อีกทั้งยังได้รับผลดีจากการ

ในปี 2567-2568 คาดว่า ปริมาณส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูปจะอยู่ที่ 1.12 และ 1.17 ล้านตัน หรือขยายตัว 3.4%YoY และ 4.2%YoY คิดเป็นมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 146,401 และ 153,721 ล้านบาท หรือขยายตัว 4.0%YoY และ 5.0%YoY ตามลำดับ เนื่องจากการส่งออกไปยังสหภาพยุโรปมีทิศทางฟื้นตัว ตามการเติบโตของการท่องเที่ยวและธุรกิจร้านอาหาร ส่งผลให้ความต้องการนำเข้าไก่แปรรูปเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับการส่งออกไก่แปรรูปของไทยไปญี่ปุ่นที่ยังขยายตัว ตามพฤติกรรมของผู้บริโภคในญี่ปุ่นที่นิยมบริโภคอาหารพร้อมทาน

รวมทั้งการระบาดของไข้หวัดนกในญี่ปุ่นและสหภาพยุโรปจะช่วยหนุนการนำเข้าไก่เนื้อของไทยเพิ่มขึ้น สำหรับการส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งจะยังได้รับผลดีจากการระบาดของโรคไข้หวัดนกในจีน อีกทั้งยังได้รับผลดีจากการ

สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนรอบใหม่อาจกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรไทย

สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนรอบใหม่อาจกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรไทยที่เป็นห่วงโซ่อุปทานของจีน โดยเมื่อเดือน พ.ค.2567 ที่ผ่านมา สหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน เช่น ในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และถุงมือยางทางการแพทย์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรไทยที่เป็นห่วงโซ่อุปทานของสินค้าจีนที่ถูกปรับขึ้นภาษี โดยเฉพาะยางแผ่น ยางแท่ง และน้ำยางข้น เนื่องจากไทยส่งออกยางพารากลุ่มนี้ไปยังตลาดจีน คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 39% ของมูลค่าการส่งออกยางพาราไปยังตลาดโลก ซึ่งอาจได้รับผลกระทบให้ความต้องการนำเข้ายางพาราเพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของจีนมีแนวโน้มลดลง

อย่างไรก็ดี ไทยอาจได้รับอานิสงส์ในการส่งออกถุงมือยางไปยังตลาดสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น เพื่อทดแทนถุงมือยางจากจีน ซึ่งสหรัฐนำเข้าถุงมือยางจากไทยคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 34.1% ของมูลค่าการนำเข้าถุงมือยางทั้งหมดของสหรัฐฯ

Implication:

Krungthai COMPASS มองว่า แม้การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในปี 2567 จะขยายตัวได้ แต่มีปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ดังนี้

  • สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน    รอบใหม่ อาจกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรไทยที่เป็นห่วงโซ่อุปทานของจีน โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มยางพารา เนื่องจากไทยส่งออกยางพาราไปจีน คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 39% ของมูลค่าการส่งออกยางพาราทั้งหมดของไทย ทำให้อาจได้รับผลกระทบจากการที่สหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า (EV) จากจีนในอัตรา 100% ซึ่งจะส่งผลให้ความต้องการนำเข้ายางพาราเพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของจีนมีแนวโน้มลดลง
  • ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ อาจกระทบต่อต้นทุนการส่งออก ทำให้ผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรของไทยต้องแบกรับภาระต้นทุนค่าขนส่งที่มีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงตามราคาน้ำมันและค่าระวางเรือในตลาดโลก รวมทั้งอาจส่งผลกระทบต่อสินค้าไทยที่พึ่งพาตลาดตะวันออกกลางในสัดส่วนที่สูง เช่น สินค้า
    ในกลุ่มข้าว และอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เป็นต้น
  • การแข่งขันในตลาดจีนที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้ง ภายหลังมาเลเซียสามารถส่งออกทุเรียนสดเข้าจีนได้ตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2567 ขณะที่เวียดนามและฟิลิปปินส์เร่งขยายการส่งออกทุเรียน ทำให้การแข่งขันด้านราคาของทุเรียนสดในตลาดจีนมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น อาจกระทบต่อการส่งออกทุเรียนของไทย
  • ต้นทุนค่าจ้างแรงงานที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น อาจกดดันต่ออัตรากำไรของผู้ประกอบการสินค้าเกษตรและอาหาร โดยล่าสุดรัฐบาลมีแผนจะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำปัจจัยท้าทายจากมาตรการสิ่งแวดล้อมของประเทศคู่ค้าที่เข้มงวดขึ้น เช่น กฎหมายที่ห้ามนำเข้าหรือส่งออกสินค้าที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำลายป่าไม้เข้าสู่ตลาดของสหภาพยุโรป (EUDeforestation-freeproducts) ที่จะเริ่มนำ
    มาใช้อย่างเต็มรูปแบบในวันที่ 30 ธ.ค. 2567 อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรไทยไปยังประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มยางพารา และน้ำมันปาล์ม
  • สภาพอากาศในช่วงครึ่งปีหลังที่เข้าสู่ปรากฎการณ์ลานีญา อาจทำให้ความต้องการนำเข้าสินค้าเกษตรมีแนวโน้มลดลง จากผลผลิตที่เพิ่มขึ้นในหลายประเทศ โดยอาจส่งผลต่อนโยบายด้านความมั่นคงทางอาหารของประเทศต่างๆ ที่ในช่วงที่ผ่านมามีการนำเข้าสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นทยอยได้รับอานิสงส์ลดลง เช่น นโยบายจำกัดการส่งออกข้าวของอินเดียที่อาจมีการผ่อนคลายลงในช่วงเดือนตุลาคม ซึ่งจะส่งผลให้ราคาข้าวในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวลดลง เป็นต้น
  • ทั่วประเทศเป็น 400 บาท โดยให้เริ่มมีผลในวันที่ 1 ตุลาคม 2567 ซึ่งจะกระทบกับผู้ประกอบการโดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่กระบวนการผลิตมีการใช้แรงงานจำนวนมาก เช่น อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้ง เป็นต้น
Visitors: 7,892,460