รัฐ – เอกชน ชี้ประชานิยมหาเสียงขึ้นค่าแรง ทำศก.พัง
ทุกภาคส่วนมองพรรคการเมืองขายฝันค่าแรงขั้นต่ำ
หวั่นศก.พัง ย้ายฐานการผลิต พร้อมให้คำนึงถึงระบบประกันสังคม รัฐยังค้างจ่ายเงิน 5
หมื่นล้าน และไม่พอค่าครองชีพ รวมทั้งคำนึงแรงงานนอกระบบ แรงงานอิสระ สหภาพฯฉะ รัฐต้องเลิกพูดค่าแรงขั้นต่ำ
แต่ควรทำเป็นโครงสร้างทั้งระบบเหมือนกันทั้งแรงงานในระบบ
- นอกระบบ
นายธนิต โสรัตน์
รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย
เปิดเผยในงานสัมมนาสาธารณะในประเด็นค่าแรงขั้นต่ำขายฝันแรงงานไทย
ของหลักสูตรผู้บริหารการสื่อสารมวลชนระดับกลาง
ด้านกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ หรือ บสก.รุ่นที่ 11 โดยสถาบันอิศรา ว่าฐานะนายจ้าง
เข้าใจว่าลูกจ้างต้องการค่าจ้างในอัตราที่สูงกว่าที่เป็นอยู่เพื่อให้เพียงพอต่อค่าครองชีพ
แต่ขอให้ลูกจ้างเข้าใจบริบทของประเทศไทยที่การขายสินค้าในบางกลุ่มยังขายได้ในมูลค่าที่ไม่สูงมากนัก
อย่างไรก็ตามยืนยันการคิดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของไทย จะผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการไตรภาคีค่าจ้าง 3
ฝ่าย โดยใช้ตามหลักสากลซึ่งจะพิจารณาจากภาวะเศรษฐกิจเงินเฟ้อความสามารถของนายจ้างที่จะจ่าย
และความเป็นอยู่ของลูกจ้างเพื่อให้เกิดความสมดุลกับทุกฝ่าย
“ค่าจ้างขั้นต่ำเสมือนเป็นค่าจ้างแรกเข้าเป็นค่าจ้างตามกฎหมาย
ที่นายจ้างต้องจ่ายให้กับลูกจ้างอย่างเท่าเทียม การจ้างงานของไทยในขณะนี้อยู่ในภาวะตึงตัวตลาดเป็นของลูกจ้าง
หรือ อยู่ในภาวะขาดแคลนแรงงานไปอีกอย่างน้อย 5 ปี โดยเฉพาะแรงงานในระดับกลาง –
ระดับสูง เนื่องจากแรงงานยังไม่กลับเข้าสู่ระบบ หลังจากการระบาดของโควิด 19”
ส่วนกรณีที่พรรคการเมืองต่างใช้นโยบายประชานิยมในการหาเสียงด้วยการชูประเด็นด้วยการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ
โดยส่วนตัวเห็นว่าเป็นนโยบายชวนเชื่อทางการตลาด แต่เชื่อว่าส่วนหนึ่งทำได้จริง เพราะการขึ้นค่าจ้างเป็นเรื่องของนายจ้าง เป็นเรื่องของภาคเอกชนที่เป็นผู้จ่าย ไม่ได้ใช้งบประมาณของพรรคการเมือง
หรืองบจากภาครัฐแต่อย่างใด
โดยหากค่าจ้างที่สูงขึ้นเกินจากความเป็นจริง
จะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่ของการอุปโภคบริโภคทั้งหมด และ สุดท้ายภาระจะตกอยู่กับผู้บริโภค
ทั้งนี้ในฐานะนายจ้าง มองว่าค่าจ้างขั้นต่ำของไทยควรจะเป็นค่าจ้างที่ขึ้นเป็นอัตโนมัติตามอัตราเงินเฟ้อ
และ ต้องไม่มีการเมืองเข้ามาแทรกแซง
“เป้าหมายคือ
นายจ้างลูกจ้างต้องอยู่ด้วยกันได้เหมือนปาท่องโก๋ ดังนั้นการขึ้นค่าจ้าง
ปล่อยให้เป็นหน้าที่ ของ องค์กรไตรภาคี ที่ทำกันมาแล้วกว่า 30 ปี
การเมืองอย่างเข้ามาแทรกแซงทำลายต้นทุนของชาติ และ ประชาชนชน ก็ต้องรู้เท่าทัน
ว่าพรรคการเมืองต่างๆ เค้าใช้การตลาด 100 % เพื่อให้ได้เข้ามาในสภาฯ”
นายธนิต กล่าว
นอกจากนี้อยากฝากถึงเด็กรุ่นใหม่
GEN
Z ที่กำลังหางานทำสิ่งที่ต้องมีคือทักษะด้านภาษา
โปรแกรมคอมพิวเตอร์พื้นฐานต้องมี
บุคลิกภาพที่ดีแต่งกายที่เหมาะสมมีการเตรียมข้อมูลก่อนการสัมภาษณ์
และสุดท้ายอย่าเลือกงานเพราะแม้ว่าเงินเดือนจะน้อยในตอนต้น
แต่ประสบการทำงานจะทำให้เราสามารถเพิ่มค่าตอบแทนในอนาคตได้
สอดคล้องกับ รศ.ดร.ยงยุทธ
แฉล้มวงษ์ ที่ปรึกษาฝ่ายการวิจัยนโยบายทรัพยากรมนุษย์
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เปิดเผยถึงผลกระทบของการดำเนินนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ
600 ว่า ปัจจุบันค่าจ้างขั้นต่ำของประเทศไทยอยู่ระหว่าง 308 ถึง 330 บาทต่อวัน
ขึ้นอยู่กับจังหวัด ต้องบอกว่ายังมีแรงงานที่ยังไม่ได้รับค่าจ้างขั้นต่ำมากกว่า
4 ล้านคนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาและไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพในปัจจุบัน
ซึ่งการใช้นโยบายค่าจ้างขั้นต่ำจำเป็นต้องมีการบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองแรงงานที่
มีประสิทธิภาพสูงและควรครอบคลุมถึงการเลี้ยงดูคู่สมรสและบุตรด้วย
และค่าจ้างขั้นต่ำไม่ใช่ค่าจ้างเริ่มต้นของแรงงานมีฝีมือในการเข้าสู่ตลาดแรงงานซึ่งการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำอาจทำให้เกิดปัญหาการปลดแรงงานดังนั้นการเพิ่มค่าจ้างแรงงานควรเพิ่มขึ้นตามกลไกตลาด
การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเปรียบเสมือนเหรียญสองด้านคือ
ต้นทุนผู้ประกอบการที่สูงขึ้นอันเนื่องมาจากการรับภาระค่าแรง
ธนาคารแห่งประเทศไทยมองว่า หากเพิ่มประสิทธิภาพแรงงานได้มากขึ้น
ต้นทุนค่าแรงอาจไม่เพิ่มขึ้น 30-40%
เท่ากับค่าแรงที่ปรับขึ้นและด้านการใช้จ่ายของประชาชน
การเพิ่มค่าแรงอาจไม่ทำให้มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น ถ้าเป็นเช่นนี้จริงผลกระทบต่อเงินเฟ้ออาจไม่สูงมาก
“ทั้งนี้
การปรับค่าจ้างขั้นต่ำจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำของค่าจ้างแรงงานได้มากพอสมควรและไม่มีผลกระทบที่มีนัยสำคัญทางสถิติต่อสัดส่วนการจ้างงานและสัดส่วนการเข้าร่วมแรงงานของแรงงานทักษะต่ำ
แต่เป็นภาพลวงตาจากการเคลื่อนย้ายแรงงานระหว่างภาคการผลิต
ทั้งนี้ผลกระทบการเคลื่อนย้ายที่น่ากังวลที่สุดอยู่ในกลุ่มแรงงานทักษะต่ำในวัยหนุ่มสาวอายุ
15-24 มากกว่า” โดยในข้อเท็จจริงพบว่า อัตราค่าจ้างขั้นต่ำยังไม่เหมาะสม เช่น
ไม่ทันกับค่าครองชีพ ไม่สอดคล้องกับผลิตภาพแรงงานที่ เพิ่มขึ้น เป็นต้น แต่ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย
ข้อดีเช่นแรงงานมีรายได้เพิ่มขึ้นทำให้มีความเป็นอยู่ดีขึ้น
การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำทำให้แรงงานได้ประโยชน์ ประมาณ 3.2 ล้านคน หรือประมาณ 30%
ช่วยลดช่องว่างความเหลือมล้ำให้กับแรงงาน
นายสาวิทย์ แก้วหวาน
ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย กล่าวว่า ค่าแรงขั้นต่ำเป็นที่ถกเถียงกันมานานซึ่งที่ผ่านมามีความพยายามที่จะเสนอค่าจ้างที่เป็นธรรมให้กับลูกจ้าง แต่ปัญหาคือคนส่วนใหญ่รับค่าจ้างขั้นต่ำแต่ไม่มีหลักประกันในการทำงานเพราะต้องขึ้นอยู่กับเงื่อนไขสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ
สังคม และการเมืองว่าจะสอดรับหรือไม่ทำให้ไม่สามารถวางแผนอนาคตได้ คนงานส่วนใหญ่ต้องทำงานมากกว่าวันละ 8 ชั่วโมง
ซึ่งมีผลต่อสุขภาพ และประกันสังคมก็ไม่ตอบสนองด้านแรงงานเป็นหนี้เป็นสิน จะเห็นได้ว่าแรงงานอยู่ในสภาวะที่ลำบาก
เมื่อคนส่วนใหญ่อยู่ในสภาพชีวิตแบบนี้ แน่นอนว่าไม่สามารถแข่งขันได้ในอนาคต
“ผมอยากบอกรัฐว่าเห็นว่าให้เลิกพูดเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำ
แต่เสนอให้เป็นระบบโครงสร้างค่าจ้าง
ทุกปีจะต้องมีการปรับขึ้นของเงินเดือนที่ต้องอิงกับดัชนีค่าครองชีพและอัตราเงินเฟ้อ
เพื่อพิจารณาว่าจะปรับขึ้นค่าจ้างเท่าไหร่
เพราะการขึ้นค่าจ้างต้องยอมรับว่าเป็นนโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองที่เข้าไปแทรกแซงกลไกเจรจาต่อรอง
วันนี้มีผู้ใช้แรงงานกว่า 40 ล้านคน แต่การรวมกลุ่มเป็นสหภาพแรงงานมีเพียง 6
แสนคนซึ่งกลไกในการเจรจาต่อรองจึงไม่เกิดขึ้น
จึงเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องหาทางออกว่า
ระบบเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับคนส่วนใหญ่
โดยเฉพาะเรื่องค่าจ้างแรงงานควรจะเป็นเท่าไหร่
ซึ่งมีงานวิจัยเกี่ยวกับค่าจ้างขั้นต่ำไม่ได้ส่งผลกระทบต่อระบบการผลิต
อีกทั้งประสิทธิภาพการทำงานออกมาดี แต่สำหรับประเทศไทยพบว่าแม้ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น
แต่ค่าแรงขั้นต่ำกลับปรับขึ้นเพียง 5-8% เท่านั้น”
การชูนโยบายหาเสียงค่าแรงขั้นต่ำ
ทุกคนอยู่อย่างหวาดระแวง อีกทั้งยังติดกับดักรายได้ปานกลางเพราะมีปัญหาแต่ไม่เคยแก้ไข
ดังนั้นเรื่องตัวเลขค่าจ้างให้เก็บเอาไว้ก่อน แต่ให้เริ่มจากความเป็นจริงว่า
ค่าแรง 354 บาทอยู่ได้หรือไม่ แรงงานทั้งในและนอกระบบทุกคนต้องเท่าเทียมกัน
และแรงงานนอกระบบต้องมีหลักประกันอย่างชัดเจน
คนส่วนใหญ่หลุดจากการเจรจาต่อรองเพราะกฎหมายไม่คุ้มครอง
ดังนั้นการสนับสนุนให้เกิดการรวมตัวกันเพื่อสร้างศักยภาพต่อรอง
จะเป็นการต่อรองเรื่องค่าจ้างโดยอัตโนมัติ ดังนั้น
การเมืองที่จะมากำหนดเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำ จึงต้องทบทวนและคิดใหม่
โดยทำลักษณะโครงสร้างค่าจ้างให้ชัด
คำถามที่เกิดขึ้นในสถานการณ์การเลือกตั้งเราต้องใช้วิจารณญาณในการเลือกตั้งว่า
นโยบายค่าแรงขั้นต่ำทำได้จริงหรือเป็นแค่เพียงฝันไปเรื่อย ตนเห็นว่าขายฝัน
เพราะตัวเลขไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
จึงต้องถกเถียงเรื่องภาวะเศรษฐกิจและสังคมให้จบ
และกำหนดตัวเลขออกมาให้ครอบคลุมทั้งแรงงานในและนอกระบบ
ด้านนางสุนทรี หัตถี
เซ่งกิ่ง กรรมการสมาคมเครือข่ายแรงงานนอกระบบ (ประเทศไทย) กล่าวว่า แรงงานนอกระบบ
คือ แรงงานที่ไม่ได้อยู่ในภาคการจ้างงานที่เป็นทางการ ปี 2565 คนมีงานทำทั้งสิ้น
39.6 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นแรงงานนอกระบบ
20.2 ล้านคนซึ่งค่าจ้างขั้นต่ำไม่คุ้มครอง
ที่เห็นได้ชัดคือในช่วงสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 กลุ่มแรงงานนอกระบบเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับผลกระทบ
ต้องลดค่าใช้จ่ายของครอบครัวและปรับตัวอย่างมาก เนื่องจากไม่มีรายได้ประจำ
ไม่สามารถที่จะฝันเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำได้
อีกทั้งบางอาชีพของแรงงานนอกระบบขึ้นอยู่กับการท่องเที่ยวค่อนข้างมาก
ถ้าการท่องเที่ยวยังไม่กลับมาก็ยากที่จะฟื้น แม้สถานการณ์โควิด-19
จะคลี่คลายแต่หลายอาชีพที่เป็นแรงงานนอกระบบก็ยังไม่ได้กลับมาทั้งหมด
“คำถามว่า
ค่าแรงขั้นต่ำขายฝันแรงงานไทยหรือไม่ เราอยู่นอกระบบของการคิดค่าจ้างขั้นต่ำ
ไม่ว่าจะประกาศอะไร จะเป็นฝันของใครไม่รู้ แต่ไม่ครอบคลุมแรงงานนอกระบบ ดังนั้นสิ่งที่ภาครัฐควรทำคือ
การคุ้มครองค่าจ้างขั้นต่ำ ค่าจ้างที่เป็นธรรม
ต้องคุ้มครองถึงแรงงานนอกระบบกลุ่มที่มีผู้จ้างงานหรือนายจ้างด้วย
และเป็นหน้าที่ของรัฐบาลต้องประกันรายได้กลุ่มคนเหล่านี้
ต้องมีมาตรการส่งเสริมให้มีรายได้ให้เท่าเทียมกับค่าจ้างขั้นต่ำของแรงงานในระบบ”
นางนภสร ทุ่งสุกใส
ที่ปรึกษาวิชาการแรงงาน สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน กระทรวงแรงงาน มีนโยบายที่จะพลิกโฉมตลาดแรงงานไทยในปี
66 เช่น พัฒนาภาคแรงงานต้องสอดรับกับโลกยุคดิจิทัล สนับสนุนการพัฒนาทุนมนุษย์
ให้ความสำคัญกับการพัฒนาแรงงานนอกระบบ คำนึงถึงความต้องการของสถานประกอบการในประเทศและแรงงาน
ได้รับการส่งเสริมด้านรายได้ แรงงานได้รับความคุ้มครองได้รับความเป็นธรรมตามกฎหมาย
มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และมีความสุขอย่างยั่งยืน
“หากมีการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเท่ากันทั่วประเทศ
แน่นอนว่าส่งผลให้อุตสาหกรรมกระจุกตัวอยู่ในเขตเมืองใหญ่ โดยเฉพาะในเขตปริมณฑล
เพราะไม่มีแรงจูงใจที่จะกระจายการผลิตไปยังจังหวัดที่อยู่ห่างออกไป
หากมีปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่ก้าวกระโดด/ สูงเกินไป นอกจากนี้
ไทยอาจสูญเสียความสามารถในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
ส่งผลให้ราคาสินค้าของไทยในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น
และผู้ประกอบการอาจต้องปิดกิจการหรือย้ายฐานการผลิตไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านที่มีค่าจ้างแรงงานต่ำกว่าหากปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเท่ากันทุกจังหวัดและปรับแบบก้าวกระโดด
ที่สำคัญอาจจะมีผลกระทบต่อต้นทุนของธุรกิจท้องถิ่นหรือกิจการขนาดเล็ก ส่งผลให้ต้องลดจำนวนคนงานลงหรือปิดกิจการ
ส่วนแรงงานจะมีรายจ่ายหรือภาระค่าครองชีพสูงขึ้น มีอำนาจซื้อน้อยลง
และมีความสามารถจับจ่ายซื้อสินค้าและบริการได้น้อยลง
ทำให้รายได้ที่มีหรือเงินที่หามาได้ไม่เพียงพอกับการยังชีพ”