กรุงศรีคาดเงินคาดเงินบาทสัปดาห์นี้ซื้อขายในกรอบ 34.50-35.20 มองดอลลาร์พักฐาน
กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า
เงินบาทสัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 34.50-35.20
บาท/ดอลลาร์ เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา
เงินบาทปิดอ่อนค่าที่ 34.83 บาท/ดอลลาร์ หลังซื้อขายในช่วง 34.24-35.07 บาท/ดอลลาร์ โดยเงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 3 เดือน เงินดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับทุกสกุลเงินสำคัญในสัปดาห์ที่ผ่านมา
โดยดัชนีดอลลาร์พุ่งสู่จุดสูงสุดในรอบ 1 ปี ท่ามกลางการคาดการณ์เกี่ยวกับนโยบายของผู้นำสหรัฐฯคนใหม่
ซึ่งมีแนวโน้มกระตุ้นเงินเฟ้อในระยะถัดไป ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนตุลาคมของสหรัฐฯออกมาใกล้เคียงกับที่คาด
ทางด้านประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)กล่าวว่าภาคจ้างงานที่แข็งแกร่งบ่งชี้ว่าเฟดไม่จำเป็นต้องรีบลดดอกเบี้ย
อย่างไรก็ตาม เฟดอาจเริ่มพิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบายของทรัมป์
แต่ต้องใช้เวลาและจะไม่มีความชัดเจนจนกว่าจะมีการบังคับใช้มาตรการต่างๆ ทั้งนี้
นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นและพันธบัตรไทยสุทธิ 4,278 ล้านบาท
และ 9,425 ล้านบาท ตามลำดับ
สำหรับภาพรวมในสัปดาห์นี้ หลังจากดัชนีดอลลาร์วิ่งขึ้นทางเดียวเกือบ 7% จากจุดต่ำสุดเมื่อปลายเดือนกันยายน ราคาตลาดได้สะท้อนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯที่แข็งแกร่ง
รวมถึงการฟอร์มทีมบริหารของทรัมป์ที่จะดำเนินนโยบายซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเพิ่มเงินเฟ้อผ่านมาตรการกีดกันทางการค้าและกฎการเข้าเมืองที่เข้มงวดยิ่งขึ้นในระยะข้างหน้ามากพอสมควรแล้ว
โดยความคาดหวังของตลาดสำหรับอัตราดอกเบี้ยปลายทางของ
เฟดยกตัวสูงขึ้นสู่ระดับใกล้เคียง 4%
เทียบกับการคาดการณ์ของเฟดที่ว่าอัตราดอกเบี้ยเป็นกลางอาจอยู่ต่ำกว่า 3% ทั้งหมดนี้บ่งชี้ว่า เราอาจมาถึงจุดที่การเคลื่อนไหวของตลาดอัตราแลกเปลี่ยนสมดุลมากขึ้นและดอลลาร์เข้าสู่การพักฐาน
ขณะที่มีโอกาสสูงขึ้นที่ทางการญี่ปุ่นอาจตัดสินใจเข้าแทรกแซงเพื่อพยุงค่าเงินเยนครั้งใหม่
ส่วนค่าเงินบาทจะยังคงได้รับอิทธิพลจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯและราคาทองคำในตลาดโลกเป็นสำคัญ
สำหรับปัจจัยในประเทศ ตลาดจะติดตามข้อมูลจีดีพีไตรมาส 3/67 ทางด้าน
รมว.คลังคาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโต 2.7% และอยากเห็นปี 68
ขยายตัว 3.5%
โดยมองว่าเศรษฐกิจที่เติบโตต่ำในช่วงที่ผ่านมาเป็นเพราะขาดการลงทุนใหม่และหนี้ครัวเรือนสูง
ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจจะประชุมวันที่ 19 พฤศจิกายน เพื่อพิจารณามาตรการต่างๆในระยะต่อไป
โดยรัฐบาลเห็นว่านโยบายการคลังและนโยบายการเงินต้องดำเนินไปพร้อมกัน