แชร์

ทีเอ็มบีธนชาต รายงานกำไรสุทธิที่ 5,112 ล้านบาท ในไตรมาส 4 รวมเป็นกำไรสุทธิ 21,031 ล้านบาท สำหรับรอบ 12 เดือน ปี 2567 ด้านคุณภาพสินทรัพย์ยังคงบริหารจัดการได้ดี สินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ในระดับต่ำที่ 2.59% พร้อมเดินหน้าเข้าสู่ปี 2568 มุ่งสานต่อพันธกิจเพื่อให้ล

อัพเดทล่าสุด: 20 ม.ค. 2025
94 ผู้เข้าชม

กรุงเทพฯ, 20 มกราคม 2568 -- ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ ทีเอ็มบีธนชาต (ทีทีบี) แจ้งผลประกอบการไตรมาส 4 และรอบ 12 เดือน ปี 2567 โดยธนาคารและบริษัทย่อยยังคงมีผลการดำเนินงานที่เป็นไปตามเป้าหมายและมีกำไรสุทธิที่ 5,112 ล้านบาท ในไตรมาส 4 รวม 12 เดือน ปี 2567 มีกำไรสุทธิ 21,031 ล้านบาท หนุนโดยการควบคุมต้นทุนใน 3 ส่วนหลัก ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนทางการเงิน ต้นทุนการดำเนินงาน และต้นทุนความเสี่ยงหรือค่าใช้จ่ายตั้งสำรองฯ ด้านคุณภาพสินทรัพย์ยังคงบริหารจัดการได้ตามเป้าหมาย ขณะที่สภาพคล่องและฐานะเงินกองทุนยังคงอยู่ในระดับสูงและมีเสถียรภาพ

นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2567 โดยรวมถือว่าเป็นไปตามเป้าหมาย ทั้งนี้ ในการรับมือกับภาวะเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายนอกซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมธนาคารทั้งในด้านรายได้และคุณภาพสินทรัพย์ ทีทีบียังคงยึดหลักการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบ และมุ่งเน้นการบริหารจัดการด้านต้นทุนและรายได้ให้สอดคล้องกัน พร้อมทั้งดูแลคุณภาพสินทรัพย์ในเชิงรุก ควบคู่ไปกับการให้ความช่วยเหลือลูกค้าอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้น ยังให้ความสำคัญกับการบริหารส่วนทุน (Capital Management) เพื่อให้การใช้ส่วนทุนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น

สำหรับการบริหารต้นทุน ธนาคารในความสำคัญกับ 3 ด้านหลัก ได้แก่ การบริหารต้นทุนทางการเงินผ่านการบริหารพอร์ตสินทรัพย์และหนี้สินอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การปรับโครงสร้างสินเชื่อให้มีความเหมาะสม การเติบโตเงินฝากให้สมดุลกับแนวโน้มด้านสินเชื่อ รวมถึงการปรับกลยุทธ์พอร์ตเงินลงทุนเพื่อให้ได้รับประโยชน์ทิศทางดอกเบี้ยในตลาดเงิน

ในส่วนของต้นทุนการดำเนินงาน ธนาคารเน้นย้ำการมีวินัยด้านค่าใช้จ่ายและการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ทั้งยังคงเดินหน้าพัฒนาศักยภาพด้านดิจิทัลและเพิ่มความสามารถใหม่ ๆ ในโมบายแอปพลิเคชัน เพื่อสนับสนุนการทำธุรกรรมผ่านช่องทางดิจิทัลซึ่งจะช่วยให้ต้นทุนการให้บริการมีแนวโน้มลดลง

และท้ายสุด คือ การควบคุมต้นทุนความเสี่ยงหรือค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองฯ โดยที่ผ่านมาธนาคารเน้นย้ำการเติบโตสินเชื่อที่มีคุณภาพและเน้นกลุ่มที่ธนาคารมีความชำนาญและเข้าใจความเสี่ยงเป็นอย่างดี พร้อมกันนั้นก็แก้ปัญหาหนี้เสียในเชิงรุก และให้ความช่วยเหลือลูกค้าผ่านหลากหลายโครงการ เช่น โครงการตั้งหลัก โครงการคุณสู้เราช่วย รวมไปถึงโครงการรวบหนี้ ซึ่งเป็นโครงการที่ทีทีบีดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2567 มีลูกค้าที่เข้าร่วมโครงการรวบหนี้แล้วกว่า 37,000 ราย เพิ่มขึ้นจากระดับ 17,000 ราย ณ สิ้นปี 2566 เทียบเท่ากับว่าธนาคารสามารถช่วยลูกค้าลดภาระดอกเบี้ยไปได้กว่า 2,100 ล้านบาท

จากการดำเนินการดังกล่าว สถานการณ์ด้านคุณภาพสินทรัพย์จึงมีเสถียรภาพและเป็นไปตามเป้าหมาย สินเชื่อด้อยคุณภาพลดลง 5% จากปีก่อนหน้าและอัตราส่วนหนี้เสียลดลงมาอยู่ที่ 2.59% จาก 2.62% ในปี 2566 ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองฯ ลดลง 11% จากปีก่อน ถือเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยหนุนผลการดำเนินงานในปี 2567 ทั้งนี้ แม้ค่าใช้จ่ายตั้งสำรองฯ จะลดลง แต่อัตราส่วนสำรองฯ ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพฯ ซึ่งสะท้อนความสามารถในการรองรับความเสี่ยงยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 151%

นอกเหนือจากนั้น ธนาคารยังเดินหน้าตามแผนการบริหารส่วนทุนให้มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นปรับโครงสร้างส่วนทุนให้มีความเหมาะสม เช่น การไถ่ถอนตราสารหนี้ที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 และลดขนาดการออกตราสารหนี้ที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ที่สำคัญคือการบริหารการใช้เงินทุนส่วนเกิน (Excess Capital) ให้เกิดประโยชน์ผ่านหลายแนวทาง ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มอัตราเงินปันผลขึ้นมาแตะระดับ 60% เทียบกับระดับ 30%-35% ในช่วงก่อนรวมกิจการ รวมถึงการสร้างโอกาสในการเติบโตผ่านการเข้าซื้อหุ้นในกิจการที่ส่งเสริมกัน โดยปัจจุบันธนาคารได้เข้าทำ Non-Binding MOU และอยู่ในขั้นตอนการทำ Due Diligence เพื่อพิจารณาการเข้าซื้อหุ้นในบริษัทหลักทรัพย์ธนชาตและบริษัท ที ลิสซิ่ง การดำเนินการเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของธนาคารในการสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

และสำหรับปี 2568 นี้ ทีทีบีจะยังคงมุ่งมั่นและเน้นย้ำการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบภายใต้กรอบ B+ESG เพื่อสร้างการเติบโตที่มีคุณภาพสามารถสร้างประโยชน์ต่อสู่ผู้มีส่วนได้เสีย รวมทั้งสานต่อพันธกิจมุ่งมั่นให้ลูกค้ามีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น (Financial Well-being) พร้อมทั้งเดินหน้าสนับสนุนแนวทางการให้สินเชื่ออย่างเป็นธรรม (Responsible Lending) และมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน

สำหรับผลการดำเนินงานรายการหลัก ๆ ในไตรมาส 4 และ 12 เดือน ปี 2567 มีดังนี้

สินเชื่อ ณ สิ้นไตรมาส 4 ปี 2567 อยู่ที่ 1,241 พันล้านบาท ชะลอลง 1.0% และ 6.6% จากไตรมาส 3 (QoQ) และสิ้นปี 2566 (YTD) ตามลำดับ สอดคล้องกับแนวทางการเติบโตสินเชื่ออย่างรอบคอบ โดยสินเชื่อกลุ่มเป้าหมายยังคงขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องตามแผนการปรับโครงสร้างสินเชื่อไปยังกลุ่มสินเชื่อรายย่อย ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อรถแลกเงิน (+6% YTD) สินเชื่อบ้านแลกเงิน (+12% YTD) สินเชื่อบุคคล (+10% YTD) และบัตรเครดิต (+7% YTD) ทั้งนี้ การลดลงของสินเชื่อรวมมีสาเหตุหลักจากการชำระคืนหนี้ของกลุ่มลูกค้าธุรกิจรายใหญ่และการชะลอตัวของสินเชื่อเช่าซื้อ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากภาวะตลาดรถยนต์ที่ยังคงหดตัว รวมถึงการบริหารหนี้เสียเชิงรุกผ่านการขายและตัดหนี้สูญ ซึ่งทำให้ยอดหนี้เสียลดลง 5% YTD

ด้านเงินฝากอยู่ที่ 1,329 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.5% QoQ ตามการขยายตัวของเงินฝากกระแสรายวันและเงินฝากออมทรัพย์ แต่ชะลอลง 4.2% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ส่วนใหญ่เป็นการลดลงในกลุ่มเงินฝากต้นทุนสูง ซึ่งเป็นไปตามแผนบริหารสภาพคล่องและเพื่อให้สมดุลกับแนวโน้มการเติบโตสินเชื่อใหม่ ขณะที่เงินฝากจากลูกค้ารายย่อยยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่องตามแผน เช่น เงินฝาก ttb all free ทั้งนี้ ด้านสภาพคล่องยังคงอยู่ในระดับสูง สะท้อนได้จากอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (LDR) ซึ่งอยู่ที่ 93%

ในด้านรายได้ ธนาคารมีรายได้จากการดำเนินงานรวมอยู่ที่ 17,133 ล้านบาท ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอยู่ที่ 7,496 ล้านบาท ในไตรมาส 4 ปี 2567 รวม 12 เดือน ปี 2567 มีรายได้จากการดำเนินงานทั้งสิ้น 69,399 ล้านบาท ลดลง 2.2% เมื่อเทียบกับปี 2566 (YoY) สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอยู่ที่ 29,571 ล้านบาท ลดลง 4.9% YoY ส่งผลให้อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ในปี 2567 อยู่ที่ 42.6% ลดลงจาก 43.6% ในปีก่อนหน้า เป็นไปตามกรอบเป้าหมาย

ด้านค่าใช้จ่ายตั้งสำรองฯ มีจำนวน 4,690 ล้านบาท ในไตรมาส 4 ปี 2567 รวม 12 เดือน ปี 2567 ดำเนินการตั้งสำรองฯ ทั้งสิ้น 19,852 ล้านบาท ลดลง 10.6% YoY หลังจากหักสำรองฯ และภาษี ธนาคารรายงานกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 4 และรอบ 12 เดือน ปี 2567 ที่ 5,112 ล้านบาท และ 21,031 ล้านบาท ตามลำดับ

ท้ายสุดด้านฐานะเงินกองทุน ยังคงอยู่ในระดับสูงและมีเสถียรภาพ โดย ณ สิ้นไตรมาส 4 ปี 2567 อัตราส่วนเงินกองทุนรวม (CAR) อยู่ที่ 19.3% และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 (Tier 1) อยู่ที่ 16.9% ยังคงสูงเป็นลำดับต้น ๆ ของอุตสาหกรรม และสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารกลุ่ม D-SIBs ที่ธปท.กำหนดไว้ที่ 12.0% สำหรับ CAR และ 9.5% สำหรับ Tier 1


บทความที่เกี่ยวข้อง
ธ.ก.ส. ร่วมมือ กรมป่าไม้ เร่งฟื้นฟูป่าชุมชน ป่าเสื่อมโทรม  สร้างการซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิต ภายใต้โครงการ BAAC Carbon Credit
ธ.ก.ส. ร่วมกับกรมป่าไม้ เดินหน้าขับเคลื่อนโครงการ BAAC Carbon Credit ป่าชุมชนและป่า  เสื่อมโทรม กว่า 4,000 ไร่
13 มี.ค. 2025
ซัคเซสมอร์ ยกระดับผลิตภัณฑ์  รับสัญลักษณ์มาตรฐานโภชนาการ ทางเลือกสุขภาพ  ตอกย้ำการเป็นแบรนด์ดูแลสุขภาพที่ทุกคนเข้าถึงได้
บริษัท ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำธุรกิจด้านสุขภาพและความงาม เดินหน้ายกระดับผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ จนได้รับสัญลักษณ์รับรองมาตรฐาน
13 มี.ค. 2025
SE Life อาคเนย์ประกันชีวิต ร่วมกับ The Okura Prestige Bangkok  ส่งเสริมผู้หญิงดูแลตัวเอง เนื่องในวันสตรีสากล
บริษัท อาคเนย์ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ SE Life หนึ่งในสายธุรกิจหลักของไทยกรุ๊ป โฮลดิ้งส์ กลุ่มธุรกิจประกันและการเงินในเครือทีซีซี
13 มี.ค. 2025
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy