แชร์

TUNA INDUSTRY ANALYSIS AND OUTLOOK แนวโน้มอุตสาหกรรมทูน่า

อัพเดทล่าสุด: 30 ธ.ค. 2024
186 ผู้เข้าชม

ภาพรวมอุตสาหกรรมทูน่าไทยในปี 2024 ถือว่าเติบโตได้ค่อนข้างดี ในช่วง 10 เดือนแรกที่ผ่านมา มูลค่าการส่งออกทูน่ากระป๋องซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักของกลุ่มขยายตัว 24.6%YOY เป็นผลจากปริมาณการส่งออกที่เติบโตสูงถึง 35.2%YOY ทั้งนี้คาดว่ามูลค่าการส่งออกทูน่ากระป๋องในปีนี้จะสามารถฟื้นกลับไปอยู่สูงกว่าช่วง Pre-COVID ได้
อีกครั้ง สอดคล้องกับภาพรวมการบริโภคในตลาดโลกและประเทศคู่ค้าหลักของไทยที่ทยอยฟื้นตัวดีขึ้น อนึ่ง ปริมาณการส่งออกทูน่ากระป๋องที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวได้รับอานิสงส์จากอุปทานปลาทูน่าจับได้ (Tuna catch) ที่เพิ่มขึ้นมากจากผลพวงของภาวะโลกร้อนที่ส่งผลให้อุณหภูมิในมหาสมุทรอุ่นขึ้น (Ocean warming) ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวนอกจากจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเลและทำให้มหาสมุทรสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพแล้ว ยังมีผลให้ฝูงปลาทูน่าย้ายถิ่นฐาน (Tuna migration) หนีคลื่นน้ำอุ่นไปรวมตัวกันในบริเวณใดบริเวณหนึ่งของมหาสมุทรเยอะมากเป็นพิเศษ จึงส่งผลดีต่อการทำประมงในบริเวณนั้น


สำหรับแนวโน้มอุตสาหกรรมทูน่าในปี 2025 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากปีนี้ โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกทูน่ากระป๋องจะขยายตัวที่ 6.2%YOY สอดคล้องกับภาพรวมแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ทยอยฟื้นตัวดีขึ้นตามลำดับ นอกจากนี้ การส่งออกที่ดีขึ้นยังเป็นผลจากการเติบโตของความต้องการบริโภคอาหารฮาลาล สะท้อนได้จากมูลค่าการนำเข้าทูน่ากระป๋องจากประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง (Middle East) ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รวมทั้งอานิสงส์จากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical risks) ที่ยังคงยืดเยื้อและมีแนวโน้มขยายวงกว้างขึ้น ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวมีส่วนทำให้หลาย ๆ ประเทศต้องการสต็อกสินค้าอาหารที่สามารถเก็บไว้บริโภคได้นานโดยเฉพาะอาหารกระป๋องเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย


ในระยะข้างหน้า ความท้าทายหลักที่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมทูน่าต้องให้ความสำคัญและเตรียมพร้อมรับมือ คือมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs) ที่มีแนวโน้มเข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาการค้ามนุษย์ การใช้แรงงานทาสและแรงงานผิดกฎหมายในอุตสาหกรรมประมง ซึ่งเป็นประเด็นที่ทางการไทยต้องเร่งแก้ไขเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานขั้นต่ำที่รัฐบาลสหรัฐฯ กำหนด รวมไปถึงการให้ความสำคัญกับมาตรการกำกับดูแลการทำประมงอย่างยั่งยืน (Sustainable fishing) พร้อม ๆ ไปกับการปรับโมเดลธุรกิจและกลยุทธ์การเติบโตให้สอดรับกับเมกะเทรนด์สำคัญของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทรนด์เรื่องอาหารปลอดภัย และ Healthier choice เพื่อตอบโจทย์เทรนด์ใส่ใจสุขภาพของผู้บริโภคยุคใหม่ รวมทั้งการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนเพื่อตอบโจทย์เทรนด์ ESG โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Carbon-neutral tuna products ซึ่งเป็นสิ่งที่กำลังถูกพูดถึงมากขึ้นในปัจจุบัน โดยมีเป้าหมายเพื่อลด Carbon footprint ในห่วงโซ่การผลิตทูน่าอย่างครบวงจร เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Carbon neutrality ภายในปี 2050 นอกจากนี้ ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ ที่ทันสมัยมาปรับใช้ให้มากขึ้น เพื่อให้สอดรับกับเทรนด์ Digitization และตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการทั้งความทันสมัยและความสะดวกสบาย พร้อม ๆ ไปกับลดการพึ่งพาแรงงานคน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก

 
อุตสาหกรรมทูน่ากระป๋องมีห่วงโซ่มูลค่าเพิ่ม (Value chain) ที่ค่อนข้างยาว โดยเริ่มตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ ซึ่งไทยจำเป็นต้องพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศทั้งในรูปปลาทูน่าสดและแช่เย็นแช่แข็ง มากถึงกว่า 90% ของความต้องการใช้ภายในประเทศ โดยส่วนใหญ่เป็นปลาทูน่าสายพันธุ์ท้องถิ่น (Skipjack tuna) ซึ่งเป็นสายพันธุ์หลักที่นิยมนำมาแปรรูปเป็นทูน่ากระป๋องมากที่สุด ส่วนที่เหลืออีกราว 10% ได้จากการทำประมงในบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันซึ่งจะเป็นกลุ่มปลาโอผิวน้ำเป็นหลัก จากนั้นก็จะนำวัตถุดิบเข้าสู่กระบวนการผลิตและแปรรูป ซึ่งส่วนใหญ่จะถูกนำไปผลิตเป็นทูน่ากระป๋องและส่งออกไปจำหน่ายในต่างประเทศเกือบทั้งหมด (Export-oriented industry) โดยพึ่งพาอุปสงค์จากตลาดภายในประเทศเพียงแค่ราว 10% เท่านั้น
 
ไทยครองแชมป์ผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์ทูน่าในตลาดโลกมาอย่างยาวนาน โดยในปี 2023 มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ราว 25% ปัจจุบันไทยยังคงครองแชมป์ประเทศผู้ส่งออกทูน่ากระป๋องอันดับ 1 ของโลก โดยในปีที่ผ่านมา (2023) มีส่วนแบ่งในตลาดโลกราว 1 ใน 4 ของมูลค่าการส่งออกรวม 1,924.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ทูน่ากระป๋องกลายเป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกหลักในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มที่ช่วยสร้างงานและรายได้เข้าประเทศจำนวนมหาศาลในแต่ละปี อนึ่ง ความสำเร็จดังกล่าว นอกจากจะเป็นผลจากการที่ผู้เล่นไทยปักหมุดอยู่ในอุตสาหกรรมนี้อย่างยาวนาน จนทำให้มีความพร้อมด้านทักษะฝีมือแรงงาน มีเทคโนโลยีการผลิตและอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่แข็งแกร่งและครบวงจรแล้ว ไทยยังมีความได้เปรียบในด้านทำเลที่ตั้งในการรับซื้อวัตถุดิบทูน่าจากแหล่งต่าง ๆ ทั่วโลก ยิ่งไปกว่านั้น สินค้าทูน่ากระป๋องของไทยยังมีคุณภาพและมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากลอีกด้วย

ทั้งนี้จากข้อมูลของสมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทยพบว่า ปัจจุบันมีจำนวนผู้ประกอบการที่อยู่ในอุตสาหกรรมผลิตทูน่ากระป๋องและแปรรูปรวมทั้งสิ้น 46 ราย ซึ่งส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในจังหวัดทางภาคใต้และรอบ ๆ อ่าวไทย ซึ่งเป็นทำเลที่ใกล้แหล่งทำประมงในประเทศหรือใกล้บริเวณท่าเรือที่มีการนำเข้าวัตถุดิบทูน่าจากต่างประเทศเพื่อลดต้นทุนการขนส่งไปยังโรงงาน โดยพบว่าเกือบทั้งหมดเป็นผู้ประกอบการรายกลางและรายใหญ่ ซึ่งมีทั้งกลุ่มที่ผลิตผลิตภัณฑ์ทูน่าจำหน่ายภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัทตัวเอง (Own brand) และกลุ่มที่รับจ้างผลิตภายใต้เครื่องหมายการค้าของลูกค้า (OEM)

อนึ่ง ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ภาพรวมอุปสงค์และอุปทานทูน่ากระป๋องโลกอยู่ในภาวะที่ค่อนข้างผันผวน จากผลกระทบของการแพร่ระบาดของ COVID-19 และปัญหา Climate change สำหรับด้านอุปสงค์พบว่าในปี 2020 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการระบาดของ COVID-19 ระลอกแรกทั่วโลก มูลค่าการส่งออกทูน่ากระป๋องของไทยขยายตัว 3.6%YOY ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 5 ปีก่อนหน้า (2015-2019) ซึ่งอยู่ที่ราว 2.5% ต่อปี โดยได้รับอานิสงส์จากมาตรการ Lockdown ในหลายประเทศทั่วโลก ส่งผลให้มีความต้องการสต็อกสินค้าอาหารที่สามารถเก็บไว้บริโภคได้นานเพิ่มขึ้นตามไปด้วยโดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มอาหารกระป๋องและทูน่ากระป๋อง ต่อมาในปี 2021 มูลค่าการส่งออกทูน่ากระป๋องของไทยได้กลับมาหดตัวรุนแรงที่ -20.6%YOY สอดคล้องกับความต้องการนำเข้าในตลาดโลกที่ลดลงจากปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลจากการเร่งซื้อสะสมไปแล้วค่อนข้างมากในช่วงก่อนหน้าทำให้มีสินค้าคงคลังในมือสูง กอปรกับความกังวลเกี่ยวกับโรคระบาดที่เริ่มคลี่คลายลง
 
ขณะที่ในฝั่งอุปทานพบว่า ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate change) เป็นปัจจัยลบที่ส่งผลต่อระบบนิเวศทางทะเลและพฤติกรรมตามธรรมชาติของปลาทูน่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งการย้ายถิ่นฐาน (Migration) ไม่ว่าจะเป็นการว่ายหนีร้อนออกไปยังบริเวณทะเลหลวง (Open sea) ซึ่งอยู่นอกเขตจับปลาถูกกฎหมาย หรือแม้แต่การอพยพหนีคลื่นน้ำอุ่นไปรวมตัวกันในบริเวณใดบริเวณหนึ่งของมหาสมุทรเยอะมากเป็นพิเศษ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมปลาทูน่าดังกล่าว ส่งผลต่อปริมาณปลาทูน่าจับได้และความผันผวนของราคาวัตถุดิบในตลาดโลกในแต่ละช่วงเวลา

500



Industry outlook and trend

ในช่วง ม.ค.-ต.ค. 2024 มูลค่าการส่งออกทูน่ากระป๋องขยายตัว 24.6% ในช่วง 10 เดือนแรกที่ผ่านมา การส่งออกทูน่ากระป๋องของไทยมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 1,949.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 24.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สอดคล้องกับการส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าหลักของไทยอย่างสหรัฐฯ และออสเตรเลีย ที่ขยายตัว 16.9% และ 17.8% ตามลำดับ ทั้งนี้มูลค่าการส่งออกทูน่ากระป๋องที่ขยายตัวสูงดังกล่าวได้รับปัจจัยหนุนจากปริมาณส่งออกที่เติบโตสูงถึง 35.2%YOY สอดคล้องกับอุปทานปลาทูน่าจับได้ (Tuna catch) ที่เพิ่มขึ้นมากในช่วงที่ผ่านมา สวนทางกับราคาส่งออกที่ปรับลดลง -7.9%YOY ตามทิศทางราคาวัตถุดิบทูน่าในตลาดโลก

สำหรับการส่งออกทูน่ากระป๋องในปี 2025 มีแนวโน้มเติบโตดีต่อเนื่องจากปีนี้ โดยคาดว่าอัตราการขยายตัวจะอยู่ที่ 6.2%YOY สอดคล้องกับความต้องการในตลาดโลกและประเทศคู่ค้าของไทยที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นตามการทยอยฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งจะช่วยหนุนให้มีการใช้จ่ายในสินค้าอุปโภคบริโภคต่าง ๆ รวมทั้งสินค้าอาหารและเครื่องดื่มมากขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ ความกังวลต่อความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงยืดเยื้อและมีแนวโน้มขยายวงกว้างขึ้นในหลายภูมิภาคของโลก ก็มีส่วนช่วยหนุนให้หลาย ๆ ประเทศยังมีความต้องการกักตุนสินค้าอาหารที่สามารถเก็บไว้บริโภคได้นานเพิ่มขึ้นตามไปด้วยเพื่อสร้างความมั่นคงด้านอาหาร (Food security) ให้กับประชาชนในประเทศตนเอง ซึ่งทูน่ากระป๋องก็ถือเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์อาหารที่ได้รับอานิสงส์โดยตรงจากสถานการณ์ดังกล่าว
 
 
มูลค่าการส่งออกทูน่ากระป๋องในปี 2025 มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องที่ 6.2% จับตากระแสความนิยมบริโภคอาหารทะเลพรีเมียมของผู้บริโภคชาวอเมริกันที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งอาจเป็นโอกาสสำหรับไทยในปรับ Product positioning เพื่อส่งออกทูน่ากระป๋องพรีเมียมไปยังตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ ปัจจุบันการบริโภคทูน่ากระป๋องของชาวอเมริกันเริ่มเข้าสู่ภาวะอิ่มตัวแล้ว สะท้อนได้จากการบริโภคทูน่ากระป๋องต่อคนต่อปี (Per capita consumption) ที่ปรับลดลงต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา สวนทางกับความนิยมบริโภคอาหารทะเล พรีเมียมประเภทอื่น ๆ เช่น กุ้ง ล็อบสเตอร์ แซลมอน ที่เพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น สิ่งที่ผู้ประกอบการไทยควรเร่งปรับตัวเพื่อคว้าโอกาสจากสถานการณ์ดังกล่าว คือการยกระดับมาตรฐานการผลิตทูน่ากระป๋อง รวมถึงการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าและตอบโจทย์ด้านสุขภาพไปพร้อม ๆ กัน เช่น ใช้ทูน่าสายพันธุ์พรีเมียมอย่าง Yellow fin ใช้เกลือที่มีแร่ธาตุสูงอย่างเกลือหิมาลายันสีชมพู หรือเพิ่มส่วนผสมที่ตอบโจทย์ลูกค้าเฉพาะกลุ่มมากขึ้น เช่น ทูน่าผสมคอลลาเจน เป็นต้น รวมทั้งให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจที่สอดรับกับเทรนด์ ESG โดยเฉพาะประเด็นเรื่องความยั่งยืนและการดูแลสิ่งแวดล้อม เพื่อตอกย้ำความพรีเมียมของสินค้าและหนุนให้ไทยยังคงเป็นซัพพลายเออร์หลักในสหรัฐฯ ต่อไป

ไทยพึ่งพาการส่งออกทูน่ากระป๋องไป ยังตลาดตะวันออกกลางมากถึงราว 1 ใน 3 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดภูมิภาคตะวันออกกลาง คือตลาดส่งออกที่มีศักยภาพและน่าจับตามอง อุปสงค์มีแนวโน้มเติบโตสูงต่อเนื่อง ผู้บริโภคมีกำลังซื้อสูง ทั้งนี้จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์พบว่า มูลค่าการส่งออกทูน่ากระป๋องไปยังภูมิภาคตะวันออกกลางมีแนวโน้มเติบโตดีต่อเนื่อง โดยพบว่าการส่งออกไปยังประเทศในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีอัตราการเติบโตที่สูงกว่าการส่งออกไปยังตลาดหลักดั้งเดิมอย่างสหรัฐฯ ออสเตรเลีย และญี่ปุ่นค่อนข้างมาก สะท้อนถึงศักยภาพการบริโภคที่น่าจับตามอง โดยในปีที่ผ่านมา (2023) การส่งออกไปยังภูมิภาคนี้มีสัดส่วนรวมกันมากถึงราว 1 ใน 3 ของมูลค่าการส่งออกทูน่ากระป๋องทั้งหมดของไทย ทั้งนี้ปัจจัยหลักที่หนุนการเติบโตมาจากความต้องการบริโภคอาหารฮาลาลที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical risks) และความกังวลต่อสถานการณ์สงครามในตะวันออกกลางโดยเฉพาะอย่างยิ่งในอิสราเอล อิรัก และเลบานอน ที่ยังคงยืดเยื้อ ยังเอื้อให้มีความต้องการกักตุนสินค้าอาหารที่สามารถเก็บไว้บริโภคได้นานเพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ ทูน่ากระป๋อง ยังจัดเป็นสินค้าอาหารพื้นฐานที่ราคาย่อมเยาทำให้เข้าถึงผู้บริโภคในทุกระดับรายได้ จึงสามารถบริโภคทดแทนโปรตีนจากเนื้อไก่หรือเนื้อวัวที่มีราคาสูงกว่าได้ ส่งผลให้ภูมิภาคตะวันออกกลางกลายเป็นตลาดส่งออกที่มีศักยภาพเติบโตสูงและน่าจับตามอง สอดรับกับเป้าหมายของไทยในการเป็นมุ่งสู่การเป็นฮับอาหารฮาลาลอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ภูมิภาคตะวันออกกลางยังเป็นประตูการค้าสำคัญที่เชื่อมต่อระหว่างทวีปเอเชีย ยุโรป และแอฟริกา ซึ่งเท่ากับเป็นการช่วยขยายโอกาสทางการค้าในประเทศที่ 3 ให้กับไทยได้อีกทางหนึ่งด้วย


Competitive landscape

กลยุทธ์การเติบโตในอนาคตจำเป็นต้องตอบโจทย์เมกะเทรนด์โลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน รวมทั้งการสร้างมูลค่าเพิ่มจากกระบวนการผลิต และรับมือกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น

ในระยะต่อไป กลยุทธ์การแข่งขันของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมทูน่าต้องหันมาให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนเพื่อตอบโจทย์เทรนด์ ESG ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจัดหาวัตถุดิบอย่างรับผิดชอบผ่านการทำประมงอย่างยั่งยืน (Sustainable fishing) รวมไปถึงการปฏิบัติต่อแรงงานในอุตสาหกรรมประมงอย่างเป็นธรรม (Fair labor practice) ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น การปรับตัวให้สอดรับกับเมกะเทรนด์เหล่านี้จึงกลายเป็นทั้งทางรอดและโอกาสของธุรกิจ เพราะนอกจากจะเป็นการลดอุปสรรคจากมาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี (NTBs) และปรับตัวให้สอดคล้องกับกฎเกณฑ์และข้อตกลงทางการค้าที่มีแนวโน้มเข้มงวดและซับซ้อนมากขึ้นแล้ว ยังช่วยเพิ่มโอกาสทางการค้าและยกระดับศักยภาพการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในตลาดโลกได้อีกด้วย

ทั้งนี้หนึ่งในประเด็นหลักที่กำลังถูกพูดถึงมากขึ้นในเวทีโลก คือการปกป้องดูแลสิ่งแวดล้อมโดยการลด Carbon footprint ในห่วงโซ่การผลิตทูน่าอย่างครบวงจร เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือ Carbon neutrality ภายในปี 2050 ซึ่งประเด็นดังกล่าวนี้เป็นสิ่งที่ผู้เล่นในอุตสาหกรรมทูน่าของไทยตระหนักถึงความสำคัญเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนการดำเนินธุรกิจและกระบวนการผลิตต่าง ๆ อาทิ การใช้เทคโนโลยีการผลิตและการจัดการของเสียที่สะอาดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมไปถึงการปรับเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาดเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่ชั้นบรรยากาศ เป็นต้น แต่หากยังมีการปล่อยคาร์บอนหลงเหลืออยู่ ภาคธุรกิจก็อาจเลือกชดเชยผ่านการทำกิจกรรมที่ไปช่วยลดหรือดูดซับคาร์บอนออกจากชั้นบรรยากาศทดแทน เช่น การปลูกป่า การปลูกพืชคลุมดินเพื่อตรึงคาร์บอนในดิน การลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียน การซื้อคาร์บอนเครดิต เป็นต้น

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมทูน่าควรมีการวิจัยและพัฒนาเพื่อต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มจากส่วนสูญเสียของกระบวนการผลิต อาทิ การนำผลพลอยได้จากการผลิตทูน่ากระป๋อง (By-products) ไปผลิตเป็นอาหารสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารเปียกสำหรับสุนัขและแมวที่ทำจากปลาชนิดต่าง ๆ รวมทั้งปลาทูน่า หรือแม้แต่การกลั่นและสกัดน้ำมันปลาทูน่าจากเนื้อปลาเพื่อออกผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ ซึ่งนอกจากจะเป็นการขยายไปสู่ธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตดีและมีอัตรากำไรค่อนข้างสูงแล้ว ยังลดความเสี่ยงจากการพึ่งพารายได้จากธุรกิจหลัก (Core business) เพียงทางเดียว อีกทั้ง ยังช่วยหนุนบทบาทของไทยในฐานะประเทศผู้ส่งออกอาหารสุนัขและแมวอันดับต้น ๆ ของโลกอีกด้วย

ขณะเดียวกัน การปรับกลยุทธ์การเติบโตเพื่อรับมือกับความท้าทายจากปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน ทั้งเรื่องความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจโลก รสนิยมของผู้บริโภคในตลาดที่เปลี่ยนไป หรือแม้แต่ภาวะโลกร้อนและปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งประเด็นเหล่านี้คือโจทย์ใหญ่ที่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมทูน่าจะมองข้ามไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ประกอบการยังต้องเตรียมรับมือกับการแข่งขันในตลาดที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นอีกด้วย ทั้งจากผู้เล่นในอุตสาหกรรมเดียวกันและจากสินค้านวัตกรรมทางเลือกใหม่ ๆ ในตลาด เช่น โปรตีนทางเลือกจากพืช (Plant-based products) หรือ Alternative protein ที่กำลังได้รับความนิยมจากผู้บริโภคทั่วโลกมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน


หมายเหตุ : * ผลประกอบการในตารางด้านบน ครอบคลุมการวิเคราะห์ผลประกอบการของกลุ่มบริษัทจดทะเบียนในหมวดธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่ประกอบธุรกิจผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์ทูน่ากระป๋องและทูน่าแปรรูป ** ผลประกอบการในปี 2023 ที่ติดลบ เป็นผลมาจากการบันทึกรายการด้อยค่าที่ไม่ใช่เงินสดครั้งเดียวของผู้เล่นรายใหญ่ในช่วงไตรมาส 4/2023


โชติกา ชุ่มมี ผู้จัดการกลุ่มธุรกิจสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมการผลิต ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC)ภาพรวมอุตสาหกรรมทูน่าไทยในปี 2024 ถือว่าเติบโตได้ค่อนข้างดี ในช่วง 10 เดือนแรกที่ผ่านมา มูลค่าการส่งออกทูน่ากระป๋องซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักของกลุ่มขยายตัว 24.6%YOY เป็นผลจากปริมาณการส่งออกที่เติบโตสูงถึง 35.2%YOY ทั้งนี้คาดว่ามูลค่าการส่งออกทูน่ากระป๋องในปีนี้จะสามารถฟื้นกลับไปอยู่สูงกว่าช่วง Pre-COVID ได้ อีกครั้ง สอดคล้องกับภาพรวมการบริโภคในตลาดโลกและประเทศคู่ค้าหลักของไทยที่ทยอยฟื้นตัวดีขึ้น อนึ่ง ปริมาณการส่งออกทูน่ากระป๋องที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวได้รับอานิสงส์จากอุปทานปลาทูน่าจับได้ (Tuna catch) ที่เพิ่มขึ้นมากจากผลพวงของภาวะโลกร้อนที่ส่งผลให้อุณหภูมิในมหาสมุทรอุ่นขึ้น (Ocean warming) ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวนอกจากจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเลและทำให้มหาสมุทรสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพแล้ว ยังมีผลให้ฝูงปลา ทูน่าย้ายถิ่นฐาน (Tuna migration) หนีคลื่นน้ำอุ่นไปรวมตัวกันในบริเวณใดบริเวณหนึ่งของมหาสมุทรเยอะมากเป็นพิเศษ จึงส่งผลดีต่อการทำประมงในบริเวณนั้น


สำหรับแนวโน้มอุตสาหกรรมทูน่าในปี 2025 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากปีนี้ โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกทูน่ากระป๋องจะขยายตัวที่ 6.2%YOY สอดคล้องกับภาพรวมแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ทยอยฟื้นตัวดีขึ้นตามลำดับ นอกจากนี้ การส่งออกที่ดีขึ้นยังเป็นผลจากการเติบโตของความต้องการบริโภคอาหารฮาลาล สะท้อนได้จากมูลค่าการนำเข้าทูน่ากระป๋องจากประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง (Middle East) ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รวมทั้งอานิสงส์จากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical risks) ที่ยังคงยืดเยื้อและมีแนวโน้มขยายวงกว้างขึ้น ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวมีส่วนทำให้หลาย ๆ ประเทศต้องการสต็อกสินค้าอาหารที่สามารถเก็บไว้บริโภคได้นานโดยเฉพาะอาหารกระป๋องเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย


ในระยะข้างหน้า ความท้าทายหลักที่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมทูน่าต้องให้ความสำคัญและเตรียมพร้อมรับมือ คือมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs) ที่มีแนวโน้มเข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาการค้ามนุษย์ การใช้แรงงานทาสและแรงงานผิดกฎหมายในอุตสาหกรรมประมง ซึ่งเป็นประเด็นที่ทางการไทยต้องเร่งแก้ไขเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานขั้นต่ำที่รัฐบาลสหรัฐฯ กำหนด รวมไปถึงการให้ความสำคัญกับมาตรการกำกับดูแลการทำประมงอย่างยั่งยืน (Sustainable fishing) พร้อม ๆ ไปกับการปรับโมเดลธุรกิจและกลยุทธ์การเติบโตให้สอดรับกับเมกะเทรนด์สำคัญของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทรนด์เรื่องอาหารปลอดภัย และ Healthier choice เพื่อตอบโจทย์เทรนด์ใส่ใจสุขภาพของผู้บริโภคยุคใหม่ รวมทั้งการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนเพื่อตอบโจทย์เทรนด์ ESG โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Carbon-neutral tuna products ซึ่งเป็นสิ่งที่กำลังถูกพูดถึงมากขึ้นในปัจจุบัน โดยมีเป้าหมายเพื่อลด Carbon footprint ในห่วงโซ่การผลิตทูน่าอย่างครบวงจร เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Carbon neutrality ภายในปี 2050 นอกจากนี้ ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ ที่ทันสมัยมาปรับใช้ให้มากขึ้น เพื่อให้สอดรับกับเทรนด์ Digitization และตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการทั้งความทันสมัยและความสะดวกสบาย พร้อม ๆ ไปกับลดการพึ่งพาแรงงานคน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก

Industry overview

ไทยพึ่งพาการนำเข้าทูน่าจากต่างประเทศมากถึงกว่า 90% ของความต้องการใช้ทั้งหมด อุตสาหกรรมทูน่ากระป๋องมีห่วงโซ่มูลค่าเพิ่ม (Value chain) ที่ค่อนข้างยาว โดยเริ่มตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ ซึ่งไทยจำเป็นต้องพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศทั้งในรูปปลาทูน่าสดและแช่เย็นแช่แข็ง มากถึงกว่า 90% ของความต้องการใช้ภายในประเทศ โดยส่วนใหญ่เป็นปลาทูน่าสายพันธุ์ท้องถิ่น (Skipjack tuna) ซึ่งเป็นสายพันธุ์หลักที่นิยมนำมาแปรรูปเป็นทูน่ากระป๋องมากที่สุด ส่วนที่เหลืออีกราว 10% ได้จากการทำประมงในบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันซึ่งจะเป็นกลุ่มปลาโอผิวน้ำเป็นหลัก จากนั้นก็จะนำวัตถุดิบเข้าสู่กระบวนการผลิตและแปรรูป ซึ่งส่วนใหญ่จะถูกนำไปผลิตเป็นทูน่ากระป๋องและส่งออกไปจำหน่ายในต่างประเทศเกือบทั้งหมด (Export-oriented industry) โดยพึ่งพาอุปสงค์จากตลาดภายในประเทศเพียงแค่ราว 10% เท่านั้น


ไทยครองแชมป์ผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์ทูน่าในตลาดโลกมาอย่างยาวนาน โดยในปี 2023 มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ราว 25% ปัจจุบันไทยยังคงครองแชมป์ประเทศผู้ส่งออกทูน่ากระป๋องอันดับ 1 ของโลก โดยในปีที่ผ่านมา (2023) มีส่วนแบ่งในตลาดโลกราว 1 ใน 4 ของมูลค่าการส่งออกรวม 1,924.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ทูน่ากระป๋องกลายเป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกหลักในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มที่ช่วยสร้างงานและรายได้เข้าประเทศจำนวนมหาศาลในแต่ละปี อนึ่ง ความสำเร็จดังกล่าว นอกจากจะเป็นผลจากการที่ผู้เล่นไทยปักหมุดอยู่ในอุตสาหกรรมนี้อย่างยาวนาน จนทำให้มีความพร้อมด้านทักษะฝีมือแรงงาน มีเทคโนโลยีการผลิตและอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่แข็งแกร่งและครบวงจรแล้ว ไทยยังมีความได้เปรียบในด้านทำเลที่ตั้งในการรับซื้อวัตถุดิบทูน่าจากแหล่งต่าง ๆ ทั่วโลก ยิ่งไปกว่านั้น สินค้าทูน่ากระป๋องของไทยยังมีคุณภาพและมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากลอีกด้วย

ทั้งนี้จากข้อมูลของสมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทยพบว่า ปัจจุบันมีจำนวนผู้ประกอบการที่อยู่ในอุตสาหกรรมผลิตทูน่ากระป๋องและแปรรูปรวมทั้งสิ้น 46 ราย ซึ่งส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในจังหวัดทางภาคใต้และรอบ ๆ อ่าวไทย ซึ่งเป็นทำเลที่ใกล้แหล่งทำประมงในประเทศหรือใกล้บริเวณท่าเรือที่มีการนำเข้าวัตถุดิบทูน่าจากต่างประเทศเพื่อลดต้นทุนการขนส่งไปยังโรงงาน โดยพบว่าเกือบทั้งหมดเป็นผู้ประกอบการรายกลางและรายใหญ่ ซึ่งมีทั้งกลุ่มที่ผลิตผลิตภัณฑ์ทูน่าจำหน่ายภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัทตัวเอง (Own brand) และกลุ่มที่รับจ้างผลิตภายใต้เครื่องหมายการค้าของลูกค้า (OEM)

อนึ่ง ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ภาพรวมอุปสงค์และอุปทานทูน่ากระป๋องโลกอยู่ในภาวะที่ค่อนข้างผันผวน จากผลกระทบของการแพร่ระบาดของ COVID-19 และปัญหา Climate change สำหรับด้านอุปสงค์พบว่าในปี 2020 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการระบาดของ COVID-19 ระลอกแรกทั่วโลก มูลค่าการส่งออกทูน่ากระป๋องของไทยขยายตัว 3.6%YOY ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 5 ปีก่อนหน้า (2015-2019) ซึ่งอยู่ที่ราว 2.5% ต่อปี โดยได้รับอานิสงส์จากมาตรการ Lockdown ในหลายประเทศทั่วโลก ส่งผลให้มีความต้องการสต็อกสินค้าอาหารที่สามารถเก็บไว้บริโภคได้นานเพิ่มขึ้นตามไปด้วยโดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มอาหารกระป๋องและทูน่ากระป๋อง ต่อมาในปี 2021 มูลค่าการส่งออกทูน่ากระป๋องของไทยได้กลับมาหดตัวรุนแรงที่ -20.6%YOY สอดคล้องกับความต้องการนำเข้าในตลาดโลกที่ลดลงจากปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลจากการเร่งซื้อสะสมไปแล้วค่อนข้างมากในช่วงก่อนหน้าทำให้มีสินค้าคงคลังในมือสูง กอปรกับความกังวลเกี่ยวกับโรคระบาดที่เริ่มคลี่คลายลง
 
ขณะที่ในฝั่งอุปทานพบว่า ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate change) เป็นปัจจัยลบที่ส่งผลต่อระบบนิเวศทางทะเลและพฤติกรรมตามธรรมชาติของปลาทูน่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งการย้ายถิ่นฐาน (Migration) ไม่ว่าจะเป็นการว่ายหนีร้อนออกไปยังบริเวณทะเลหลวง (Open sea) ซึ่งอยู่นอกเขตจับปลาถูกกฎหมาย หรือแม้แต่การอพยพหนีคลื่นน้ำอุ่นไปรวมตัวกันในบริเวณใดบริเวณหนึ่งของมหาสมุทรเยอะมากเป็นพิเศษ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมปลาทูน่าดังกล่าว ส่งผลต่อปริมาณปลาทูน่าจับได้และความผันผวนของราคาวัตถุดิบในตลาดโลกในแต่ละช่วงเวลา

Industry outlook and trend

ในช่วง ม.ค.-ต.ค. 2024 มูลค่าการส่งออกทูน่ากระป๋องขยายตัว 24.6% ในช่วง 10 เดือนแรกที่ผ่านมา การส่งออกทูน่ากระป๋องของไทยมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 1,949.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 24.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สอดคล้องกับการส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าหลักของไทยอย่างสหรัฐฯ และออสเตรเลีย ที่ขยายตัว 16.9% และ 17.8% ตามลำดับ ทั้งนี้มูลค่าการส่งออกทูน่ากระป๋องที่ขยายตัวสูงดังกล่าวได้รับปัจจัยหนุนจากปริมาณส่งออกที่เติบโตสูงถึง 35.2%YOY สอดคล้องกับอุปทานปลาทูน่าจับได้ (Tuna catch) ที่เพิ่มขึ้นมากในช่วงที่ผ่านมา สวนทางกับราคาส่งออกที่ปรับลดลง -7.9%YOY ตามทิศทางราคาวัตถุดิบทูน่าในตลาดโลก

สำหรับการส่งออกทูน่ากระป๋องในปี 2025 มีแนวโน้มเติบโตดีต่อเนื่องจากปีนี้ โดยคาดว่าอัตราการขยายตัวจะอยู่ที่ 6.2%YOY สอดคล้องกับความต้องการในตลาดโลกและประเทศคู่ค้าของไทยที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นตามการทยอยฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งจะช่วยหนุนให้มีการใช้จ่ายในสินค้าอุปโภคบริโภคต่าง ๆ รวมทั้งสินค้าอาหารและเครื่องดื่มมากขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ ความกังวลต่อความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงยืดเยื้อและมีแนวโน้มขยายวงกว้างขึ้นในหลายภูมิภาคของโลก ก็มีส่วนช่วยหนุนให้หลาย ๆ ประเทศยังมีความต้องการกักตุนสินค้าอาหารที่สามารถเก็บไว้บริโภคได้นานเพิ่มขึ้นตามไปด้วยเพื่อสร้างความมั่นคงด้านอาหาร (Food security) ให้กับประชาชนในประเทศตนเอง ซึ่งทูน่ากระป๋องก็ถือเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์อาหารที่ได้รับอานิสงส์โดยตรงจากสถานการณ์ดังกล่าว


มูลค่าการส่งออกทูน่ากระป๋องในปี 2025 มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องที่ 6.2% จับตากระแสความนิยมบริโภคอาหารทะเลพรีเมียมของผู้บริโภคชาวอเมริกันที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งอาจเป็นโอกาสสำหรับไทยในปรับ Product positioning เพื่อส่งออกทูน่ากระป๋องพรีเมียมไปยังตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ ปัจจุบันการบริโภคทูน่ากระป๋องของชาวอเมริกันเริ่มเข้าสู่ภาวะอิ่มตัวแล้ว สะท้อนได้จากการบริโภคทูน่ากระป๋องต่อคนต่อปี (Per capita consumption) ที่ปรับลดลงต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา สวนทางกับความนิยมบริโภคอาหารทะเล พรีเมียมประเภทอื่น ๆ เช่น กุ้ง ล็อบสเตอร์ แซลมอน ที่เพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น สิ่งที่ผู้ประกอบการไทยควรเร่งปรับตัวเพื่อคว้าโอกาสจากสถานการณ์ดังกล่าว คือการยกระดับมาตรฐานการผลิตทูน่ากระป๋อง รวมถึงการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าและตอบโจทย์ด้านสุขภาพไปพร้อม ๆ กัน เช่น ใช้ทูน่าสายพันธุ์พรีเมียมอย่าง Yellow fin ใช้เกลือที่มีแร่ธาตุสูงอย่างเกลือหิมาลายันสีชมพู หรือเพิ่มส่วนผสมที่ตอบโจทย์ลูกค้าเฉพาะกลุ่มมากขึ้น เช่น ทูน่าผสมคอลลาเจน เป็นต้น รวมทั้งให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจที่สอดรับกับเทรนด์ ESG โดยเฉพาะประเด็นเรื่องความยั่งยืนและการดูแลสิ่งแวดล้อม เพื่อตอกย้ำความพรีเมียมของสินค้าและหนุนให้ไทยยังคงเป็นซัพพลายเออร์หลักในสหรัฐฯ ต่อไป

ไทยพึ่งพาการส่งออกทูน่ากระป๋องไป ยังตลาดตะวันออกกลางมากถึงราว 1 ใน 3 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ภูมิภาคตะวันออกกลาง คือตลาดส่งออกที่มีศักยภาพและน่าจับตามอง อุปสงค์มีแนวโน้มเติบโตสูงต่อเนื่อง ผู้บริโภคมีกำลังซื้อสูง ทั้งนี้จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์พบว่า มูลค่าการส่งออกทูน่ากระป๋องไปยังภูมิภาคตะวันออกกลางมีแนวโน้มเติบโตดีต่อเนื่อง โดยพบว่าการส่งออกไปยังประเทศในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีอัตราการเติบโตที่สูงกว่าการส่งออกไปยังตลาดหลักดั้งเดิมอย่างสหรัฐฯ ออสเตรเลีย และญี่ปุ่นค่อนข้างมาก สะท้อนถึงศักยภาพการบริโภคที่น่าจับตามอง โดยในปีที่ผ่านมา (2023) การส่งออกไปยังภูมิภาคนี้มีสัดส่วนรวมกันมากถึงราว 1 ใน 3 ของมูลค่าการส่งออกทูน่ากระป๋องทั้งหมดของไทย ทั้งนี้ปัจจัยหลักที่หนุนการเติบโตมาจากความต้องการบริโภคอาหารฮาลาลที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical risks) และความกังวลต่อสถานการณ์สงครามในตะวันออกกลางโดยเฉพาะอย่างยิ่งในอิสราเอล อิรัก และเลบานอน ที่ยังคงยืดเยื้อ ยังเอื้อให้มีความต้องการกักตุนสินค้าอาหารที่สามารถเก็บไว้บริโภคได้นานเพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ ทูน่ากระป๋อง ยังจัดเป็นสินค้าอาหารพื้นฐานที่ราคาย่อมเยาทำให้เข้าถึงผู้บริโภคในทุกระดับรายได้ จึงสามารถบริโภคทดแทนโปรตีนจากเนื้อไก่หรือเนื้อวัวที่มีราคาสูงกว่าได้ ส่งผลให้ภูมิภาคตะวันออกกลางกลายเป็นตลาดส่งออกที่มีศักยภาพเติบโตสูงและน่าจับตามอง สอดรับกับเป้าหมายของไทยในการเป็นมุ่งสู่การเป็นฮับอาหารฮาลาลอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ภูมิภาคตะวันออกกลางยังเป็นประตูการค้าสำคัญที่เชื่อมต่อระหว่างทวีปเอเชีย ยุโรป และแอฟริกา ซึ่งเท่ากับเป็นการช่วยขยายโอกาสทางการค้าในประเทศที่ 3 ให้กับไทยได้อีกทางหนึ่งด้วย


ไทยส่งออก ทูน่ากระป๋องไปยังตลาดตะวันออกกลางมากถึงราว 1 ใน 3 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด
 
Competitive landscape
กลยุทธ์การเติบโตในอนาคตจำเป็นต้องตอบโจทย์เมกะเทรนด์โลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน รวมทั้งการสร้างมูลค่าเพิ่มจากกระบวนการผลิต และรับมือกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น

ในระยะต่อไป กลยุทธ์การแข่งขันของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมทูน่าต้องหันมาให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนเพื่อตอบโจทย์เทรนด์ ESG ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจัดหาวัตถุดิบอย่างรับผิดชอบผ่านการทำประมงอย่างยั่งยืน (Sustainable fishing) รวมไปถึงการปฏิบัติต่อแรงงานในอุตสาหกรรมประมงอย่างเป็นธรรม (Fair labor practice) ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น การปรับตัวให้สอดรับกับเมกะเทรนด์เหล่านี้จึงกลายเป็นทั้งทางรอดและโอกาสของธุรกิจ เพราะนอกจากจะเป็นการลดอุปสรรคจากมาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี (NTBs) และปรับตัวให้สอดคล้องกับกฎเกณฑ์และข้อตกลงทางการค้าที่มีแนวโน้มเข้มงวดและซับซ้อนมากขึ้นแล้ว ยังช่วยเพิ่มโอกาสทางการค้าและยกระดับศักยภาพการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในตลาดโลกได้อีกด้วย

ทั้งนี้หนึ่งในประเด็นหลักที่กำลังถูกพูดถึงมากขึ้นในเวทีโลก คือการปกป้องดูแลสิ่งแวดล้อมโดยการลด Carbon footprint ในห่วงโซ่การผลิตทูน่าอย่างครบวงจร เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือ Carbon neutrality ภายในปี 2050 ซึ่งประเด็นดังกล่าวนี้เป็นสิ่งที่ผู้เล่นในอุตสาหกรรมทูน่าของไทยตระหนักถึงความสำคัญเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนการดำเนินธุรกิจและกระบวนการผลิตต่าง ๆ อาทิ การใช้เทคโนโลยีการผลิตและการจัดการของเสียที่สะอาดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมไปถึงการปรับเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาดเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่ชั้นบรรยากาศ เป็นต้น แต่หากยังมีการปล่อยคาร์บอนหลงเหลืออยู่ ภาคธุรกิจก็อาจเลือกชดเชยผ่านการทำกิจกรรมที่ไปช่วยลดหรือดูดซับคาร์บอนออกจากชั้นบรรยากาศทดแทน เช่น การปลูกป่า การปลูกพืชคลุมดินเพื่อตรึงคาร์บอนในดิน การลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียน การซื้อคาร์บอนเครดิต เป็นต้น

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมทูน่าควรมีการวิจัยและพัฒนาเพื่อต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มจากส่วนสูญเสียของกระบวนการผลิต อาทิ การนำผลพลอยได้จากการผลิตทูน่ากระป๋อง (By-products) ไปผลิตเป็นอาหารสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารเปียกสำหรับสุนัขและแมวที่ทำจากปลาชนิดต่าง ๆ รวมทั้งปลาทูน่า หรือแม้แต่การกลั่นและสกัดน้ำมันปลาทูน่าจากเนื้อปลาเพื่อออกผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ ซึ่งนอกจากจะเป็นการขยายไปสู่ธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตดีและมีอัตรากำไรค่อนข้างสูงแล้ว ยังลดความเสี่ยงจากการพึ่งพารายได้จากธุรกิจหลัก (Core business) เพียงทางเดียว อีกทั้ง ยังช่วยหนุนบทบาทของไทยในฐานะประเทศผู้ส่งออกอาหารสุนัขและแมวอันดับต้น ๆ ของโลกอีกด้วย

ขณะเดียวกัน การปรับกลยุทธ์การเติบโตเพื่อรับมือกับความท้าทายจากปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน ทั้งเรื่องความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจโลก รสนิยมของผู้บริโภคในตลาดที่เปลี่ยนไป หรือแม้แต่ภาวะโลกร้อนและปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งประเด็นเหล่านี้คือโจทย์ใหญ่ที่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมทูน่าจะมองข้ามไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ประกอบการยังต้องเตรียมรับมือกับการแข่งขันในตลาดที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นอีกด้วย ทั้งจากผู้เล่นในอุตสาหกรรมเดียวกันและจากสินค้านวัตกรรมทางเลือกใหม่ ๆ ในตลาด เช่น โปรตีนทางเลือกจากพืช (Plant-based products) หรือ Alternative protein ที่กำลังได้รับความนิยมจากผู้บริโภคทั่วโลกมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน
ภาคผนวก

ภาพรวมผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มผู้ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์ทูน่ากระป๋องและทูน่าแปรรูป


หมายเหตุ : * ผลประกอบการในตารางด้านบน ครอบคลุมการวิเคราะห์ผลประกอบการของกลุ่มบริษัทจดทะเบียนในหมวดธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่ประกอบธุรกิจผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์ทูน่ากระป๋องและทูน่าแปรรูป
** ผลประกอบการในปี 2023 ที่ติดลบ เป็นผลมาจากการบันทึกรายการด้อยค่าที่ไม่ใช่เงินสดครั้งเดียวของผู้เล่นรายใหญ่ในช่วงไตรมาส 4/2023

ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

โชติกา ชุ่มมี
ผู้จัดการกลุ่มธุรกิจสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมการผลิต
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC)


บทความที่เกี่ยวข้อง
‘เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท’ บริษัทในเครือ ‘สิงห์ เอสเตท’ เตรียมออกหุ้นกู้ชุดใหม่ 2 ชุด อายุ 2 ปี และ 3 ปี ที่อัตราดอกเบี้ย 4.50% และ 5.00% ต่อปี เสริมแกร่งพร้อมขยายธุรกิจต่อยอดโอกาสการเติบโต
เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ยื่น filing เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ต่อประชาชนเป็นการทั่วไป จำนวน 2 ชุด อายุ 2 ปี และ 3 ปี ที่อัตราดอกเบี้ย 4.50% และ 5.00% ต่อปี
15 ม.ค. 2025
CKPower เดินหน้าส่งไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน รุกธุรกิจขาย RECs รองรับตลาดไทยและต่างประเทศ
วางเป้าเพิ่มมูลค่าการลงทุนสีเขียว ขานรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานในอนาคต พร้อมคว้าผลประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Rating ปี 2567 ระดับ AAA
15 ม.ค. 2025
สมาคมประกันชีวิตไทยร่วมประชุมผู้บริหารระดับสูงด้านการประกันภัย (OIC Meets CEO 2025) ครั้งที่ 1/2568
นางนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารสมาคมฯ และผู้บริหารจากบริษัทประกันชีวิต เข้าร่วมการประชุมผู้บริหารระดับสูงด้านการประกันภัย (OIC Meets CEO 2025) ครั้งที่ 1/2568
15 ม.ค. 2025
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy