ส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร Q4/2567 ขยายตัวต่อเนื่อง คาดส่งออกในปี 2568 ยังขยายตัวได้ แต่อาจเผชิญความเสี่ยงจากสงครามการค้า
Key Highlights
มูลค่าส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในไตรมาส 4 อยู่ที่ 12,148 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 4.1 แสนล้านบาท) ขยายตัวต่อเนื่องที่ 7.2%YoY หลังจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัว 9.8%YoY โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ไก่ ยางพารา ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้ง อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป อาหารสัตว์เลี้ยง และสิ่งปรุงรสอาหาร ส่วนสินค้าที่หดตัว ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง และน้ำตาลทรายสำหรับสินค้าที่ขยายตัวดี ได้แก่ ยางพารา (30.8%YoY) ขยายตัวจากราคาส่งออกที่เพิ่มขึ้น ส่วนผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้ง (12.9%YoY) จากคำสั่งซื้อผลไม้ในตลาดจีนที่เร่งตัวขึ้น ภายหลังสถานการณ์น้ำท่วมในไทยคลี่คลาย ขณะที่อาหารสัตว์เลี้ยง (15.3%YoY)ได้รับผลบวกจากความต้องการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ในตลาดสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป Krungthai COMPASS มองว่า ในปี 2568 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรไทยจะยังขยายตัวได้ แต่มีปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ นโยบายการค้าของสหรัฐฯ รอบใหม่อาจกดดันการส่งออก รวมถึงความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจกระทบต่อต้นทุนการส่งออก อีกทั้งต้นทุนค่าจ้างแรงงานที่ปรับเพิ่มขึ้นและกฎระเบียบทางการค้าด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศคู่ค้าที่เข้มงวด อาจกดดันอัตรากำไรของผู้ประกอบการ นอกจากนี้ การแข่งขันในตลาดส่งออกอาจทวีความรุนแรง เนื่องจากอุปทานสินค้าพืชเกษตรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามสภาพอากาศที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ
Krungthai COMPASS
การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในไตรมาส 4 ปี 2567 ขยายตัวต่อเนื่อง
ภาพรวมการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในไตรมาสที่ 4 ปี 2567ขยายตัวต่อเนื่องที่ 7.2%YoY เทียบกับไตรมาสก่อนที่ขยายตัว 9.8%YoY การส่งออกไปตลาดสำคัญอย่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 10% และ 8%ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัวต่อเนื่องที่ 23.3%YoY และ 21.1%YoY ตามลำดับ โดยได้รับแรงหนุนจากความกังวลด้านความมั่นคงทางอาหาร ทำให้ความต้องการนำเข้าสินค้าในกลุ่มไก่ และอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี การส่งออกไปยังตลาดจีนซึ่งเป็นตลาดใหญ่สุด (สัดส่วน 24% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร) หดตัวต่อเนื่องที่-1.3%YoY จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ประกอบกับความกังวลจากสงครามการค้ารอบใหม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าบางกลุ่มที่เป็นห่วงโซ่การผลิตของจีน เช่น ยางพารา
หมวดสินค้าเกษตรขยายตัวต่อเนื่องที่ 7.1%YoY (สัดส่วนราว 55% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร) โดยกลุ่มสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ไก่ (10.7%YoY) ยางพารา (30.8%YoY) และผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้ง (12.9%YoY) ซึ่งพลิกกลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส จากคำสั่งซื้อผลไม้ในตลาดจีนที่เร่งตัวขึ้น ภายหลังสถานการณ์น้ำท่วมในไทยคลี่คลาย ขณะที่กลุ่มสินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ ข้าว (-7.3%YoY) จากการกลับมาส่งออกข้าวของอินเดีย และมันสำปะหลัง (-13.3%YoY) เนื่องจากเผชิญการแข่งขันกับราคาข้าวโพดจีน (สินค้าทดแทน) ที่ลดลงมาก
ด้านหมวดสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัวต่อเนื่องที่ 7.3%YoY (สัดส่วนราว 45%)โดยกลุ่มสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป (14.3%YoY)สิ่งปรุงรสอาหาร (6.2%YoY) และอาหารสัตว์เลี้ยง (15.3%YoY) จากความต้องการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในตลาดสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ขณะที่สินค้าที่หดตัว ได้แก่ น้ำตาลทราย (-22.0%YoY) เนื่องจากราคาส่งออกที่ปรับลดลงตามตลาดโลก และปริมาณส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งในปีก่อนที่ทำให้ผลผลิตอ้อยลดลง
สถานการณ์การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในกลุ่มสินค้าสำคัญ การส่งออกข้าวไตรมาส 4 กลับมาหดตัว
มูลค่าการส่งออกข้าวไตรมาสที่ 4 ปี 2567 หดตัว -7.3%YoY จากปริมาณการส่งออกข้าวโดยรวมที่หดตัว -8.2%YoY แม้ว่าราคาส่งออกข้าวเฉลี่ยโดยรวมจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 1.0%YoY โดยมูลค่าการส่งออกข้าวขาว 5% หดตัวถึง -33.4%YoY จากปริมาณการส่งออกที่หดตัว -27.2%YoY และราคาที่ปรับลดลง -8.5%YoY จากการยกเลิกนโยบายจำกัดการส่งออกข้าวของอินเดีย ขณะที่มูลค่าการส่งออกข้าวหอมมะลิยังสามารถขยายตัวได้เล็กน้อยที่ 5.7%YoY จากราคาส่งออกข้าวหอมมะลิที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 10.7%YoY จากฐานที่ต่ำในปี 2566 เป็นหลัก ส่วนปริมาณการส่งออกหดตัว -4.5%YoY เนื่องจากยังคงมีการแข่งขันกับข้าวชนิดอื่นในตลาดส่งออก เช่น ข้าวพันธุ์พื้นนุ่มของเวียดนามที่มีราคาถูกและรสชาติดี
มูลค่าการส่งออกยางพาราไตรมาส 4 ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง
มูลค่าการส่งออกยางแผ่นและยางแท่งไตรมาสที่ 4 ปี 2567 ขยายตัว 28.0%YoY จากราคาส่งออกที่ขยายตัวถึง 50.5%YoY จากอุปทานยางที่ตึงตัว เนื่องจากปัญหาน้ำท่วมภาคใต้ของไทยและชายฝั่งตะวันออกของมาเลเซีย แม้ปริมาณการส่งออกปรับตัวลดลง -14.9%YoY โดยเฉพาะตลาดจีนที่ปรับตัวลดลงถึง -45.2%YoY จากความกังวลสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ทำให้ความต้องการนำเข้ายางแผ่นและยางแท่งจากไทยของจีนเพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตชื้นส่วนรถยนต์ EV ลดลง แม้ว่าปริมาณการส่งออกไปยังตลาดญี่ปุ่น และเกาหลีซึ่งเป็นตลาดรองจะเพิ่มขึ้นถึง 28.7%YoY และ 10.4%YOY ตามลำดับ
มูลค่าการส่งออกน้ำยางข้นเพิ่มขึ้น 36.6%YoY ตามราคาส่งออกปรับตัวเพิ่มขึ้น 47.4%YoY ขณะที่ปริมาณการส่งออกน้ำยางข้นลดลง -7.3%YoY ตามการส่งออกไปจีนซึ่งคิดเป็น 35.0% ของตลาดส่งออกน้ำยางข้นทั้งหมดหดตัวถึง -12.4%YoYเนื่องจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ทำให้ความต้องการนำเข้าน้ำยางข้นจากไทย ไปยังจีนเพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตถุงมือยางเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯ ลดลง
มูลค่าการส่งออกมันสำปะหลังไตรมาส 4 หดตัวต่อเนื่อง
มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังทั้งหมดในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 อยู่ที่ 675ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัว -13%YoY โดยมูลค่าการส่งออกมันเส้นและมันอัดเม็ดอยู่ที่ 60 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 2,015ล้านบาท) หดตัว -19%YoY ในแง่ปริมาณหดตัว -1%YoY ส่วนราคาส่งออกหดตัวถึง -14.0%YoY เนื่องจากโรงงานผลิตแอลกอฮอล์ในจีนหันมาใช้ข้าวโพดที่มีราคาถูกกว่า ขณะที่การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ทำให้ความต้องการใช้แอลกอฮอล์ลดลง กระทบความต้องการนำเข้ามันเส้นจากไทย
ส่วนมูลค่าการส่งออกแป้งมันสำปะหลังอยู่ที่ 595 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 19,930ล้านบาท) หดตัว -14%YoY โดยในแง่ปริมาณหดตัว -3%YoY ขณะที่ราคาส่งออกลดลง -11%YoY เนื่องจากเผชิญการแข่งขันกับราคาแป้งข้าวโพดจีนที่มีราคาถูกกว่ามาก อีกทั้งคู่ค้าจากจีนส่วนใหญ่ชะลอคำสั่งซื้อเพื่อรอประเมินทิศทางราคา
การส่งออกผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้งไตรมาส 4 กลับมาขยายตัว
มูลค่าการส่งออกผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้งไตรมาสที่ 4 ปี 2567 กลับมาขยายตัวที่ 12.9%YoY จากการส่งออกไปจีนขยายตัว 11.5%YoY โดยมูลค่าการส่งออกทุเรียนขยายตัว 16.3%YoY จากปริมาณการส่งออกที่ขยายตัว 10.8%YoY โดยปัจจัยสนับสนุนมาจากคำสั่งซื้อผลไม้ในตลาดจีนที่เร่งตัวขึ้น ตามความต้องการผลไม้สดในช่วงวันหยุดยาววันชาติจีนในวันที่ 1-7 ต.ค. 2567 ประกอบกับการขนส่งผลไม้ไทยผ่านแดนไปจีนเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ภายหลังสถานการณ์น้ำท่วมในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยคลี่คลาย สะท้อนจากในช่วงเดือน ต.ค.-พ.ย. 2567 การส่งออกผ่านแดนไปจีนขยายตัวถึง 26.4%YoY และ 54.9%YoY ตามลำดับ โดยเฉพาะลำไยสดและทุเรียนสดขยายตัว 77.0%YoY และ 6.4%YoY ตามลำดับ
การส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูปไตรมาส 4 ขยายตัวต่อเนื่อง จากความต้องการนำเข้าของตลาดส่งออกหลักที่เพิ่มขึ้น
ภาพรวมมูลค่าการส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูปไตรมาสที่ 4 ปี 2567 ขยายตัว 10.7%YoY
โดยเฉพาะไก่แปรรูปขยายตัว 11.2%YoY จากตลาดส่งออกหลักอย่างสหภาพยุโรปที่ขยายตัว 23.8%YoY เพราะความต้องการนำเข้าไก่แปรรูปที่เพิ่มขึ้น ตามการเติบโตของการท่องเที่ยวและธุรกิจร้านอาหารเพื่อรองรับเทศกาลต่างๆ เช่นเดียวกับการส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งที่ยังขยายตัว 9.6%YoY จากการส่งออกไปญี่ปุ่นและจีนเพิ่มขึ้น 11.4%YoY และ 5.1%YoY ตามลำดับ เพื่อทดแทนไก่เนื้อในญี่ปุ่นและจีนจากการระบาดของโรคไข้หวัดนก
ทิศทางการส่งออกสินค้าเกษตรสำคัญ ในปี 2568-2569
ข้าว
ในปี 2568 คาดว่า ภาพรวมมูลค่าการส่งออกข้าวไทยจะอยู่ที่ราว 4.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือลดลง -29%YoY จากปริมาณการส่งออกข้าวที่ลดลงมาอยู่ที่ราว 7.8 ล้านตัน หรือลดลง -21%YoY จากการยกเลิกนโยบายควบคุมการส่งออกข้าวของอินเดีย ที่ทำให้อานิสงส์จากการที่ผู้นำเข้าข้าวหันมานำข้าวไทยทดแทนอินเดียหมดลง และส่งผลให้ราคาข้าวในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับลดลง โดยคาดว่าราคาส่งออกข้าวขาว 5% เฉลี่ยของไทยจะอยู่ที่ 450-460 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน หรือลดลง22-24%YoY ทำให้ผู้ประกอบการมีความเสี่ยงขาดทุนสต็อก ประกอบกับยังต้องติดตามปัญหาต้นทุนค่าขนส่งที่คาดว่ายังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งเป็นผลกระทบจากปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งอาจกระทบความสามารถในการทำกำไรของอุตสาหกรรมข้าว
ส่วนในปี 2569 คาดว่า มูลค่าการส่งออกข้าวไทยจะอยู่ที่ราว 4.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือลดลง -5%YoY โดยในแง่ปริมาณการส่งออกข้าวอยู่ที่ราว 7.6 ล้านตัน หรือลดลง -3%YoY จากแรงกดดันจากการแข่งขันด้านราคาที่ต่ำกว่าของประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนาม และจุดขายของสายพันธุ์ข้าวไทยเริ่มไม่เป็นจุดแข็งในการส่งออก เนื่องจากข้าวพันธุ์พื้นนุ่มของเวียดนามมีราคาถูกและรสชาติดีกว่า ซึ่งโดยรวมปริมาณการส่งออกข้าวทั้ง 2 ปีนับว่าอยู่ในระดับต่ำหากเทียบกับในช่วงปี 2557-2561 หรือปี 2567 ที่เคยส่งออกได้เฉลี่ยปีละ 9-10 ล้านตัน
ยางพารา
ในปี 2568-2569 คาดว่า มูลค่าการส่งออกยางแผ่นและยางแท่งจะอยู่ที่ 3.78 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และ 3.61 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือลดลง -5.8% YoYและ -1.4%YoY ตามลำดับ ตามราคาส่งออกยางแผ่นยางแท่งที่ปรับตัวลดลง-9.8%YoY และ -4.4%YoY จากผลผลิตยางพาราตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากปัญหาสภาพอากาศแปรปรวนที่คลี่คลาย แม้ว่าปริมาณการส่งออกคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 4.0%YoY และ 3.0%YoY ตามลำดับ จากภาคอุตสาหกรรมการผลิตในจีนที่ค่อยๆ ฟื้นตัว ทำให้ความต้องการใช้ยางเพื่อเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ของจีนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าการผลิตรถยนต์ของจีนในปี 2568-2569 จะมีจำนวน 31.3ล้านคัน และ 32.5 ล้านคันตามลำดับ จาก 30.1 ล้านคัน ในปี 2567
อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามความรุนแรงของปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่คาดว่าจะส่ง
ผลกระทบชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งอาจทำให้การส่งออกยางแผ่นยางแท่งของไทยเพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในจีนขยายตัวต่ำกว่าที่คาด
ในปี 2568-2569 คาดว่า มูลค่าการส่งออกน้ำยางข้นจะอยู่ที่ 8.69 ร้อยล้านเหรียญสหรัฐฯ และ 8.57 ร้อยล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามลำดับ หรือลดลง-7.8%YoY และ -1.4%YoY ตามลำดับ ตามราคาส่งออกที่ลดลงมาอยู่ที่ 1.3พันเหรียญสหรัฐฯ/ตัน และ 1.2 พันเหรียญสหรัฐฯ/ตัน ตามลำดับ หรือลดลง -9.8%YoY และ -4.4%YoY ตามลำดับ ตามผลผลิตยางพาราโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ปริมาณการส่งออกในปี 2568-2569 คาดจะเพิ่มขึ้น 2.0%YoY เป็น 0.69 ล้านตัน และ3.0%YoY เป็น 0.71 ล้านตัน ตามลำดับ จากความต้องการใช้เพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตในอุตสาหกรรมยางทางการแพทย์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
มันสำปะหลัง
ในปี 2568-2569 ผลผลิตมันสำปะหลังคาดว่าจะกลับมาขยายตัวได้ จากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูก อีกทั้งการควบคุมการระบาดของโรคใบด่างให้อยู่ในวงจำกัดมากขึ้น ส่วนการนำเข้าหัวมันสำปะหลังจากประเทศเพื่อนบ้านคาดจะเพิ่มขึ้น หากไม่มีปัญหาโรคใบด่างมันสำปะหลังระบาดรุนแรงในประเทศเพื่อนบ้าน อย่างไรก็ตาม การส่งออกต้องเผชิญปัจจัยกดดันจากการแข่งขันด้านราคากับราคาข้าวโพดในจีนที่มีราคาถูกกว่า เนื่องจากผลผลิตข้าวโพดในจีนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น คาดว่า ในปี 2568 มูลค่าส่งออกมันเส้นและมันอัดเม็ดจะอยู่ที่ราว 458 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือหดตัว -4%YoY ซึ่งเป็นผลจากราคาส่งออกที่ลดลงถึง -23%YoY ตามทิศทางราคาข้าวโพดในตลาดจีนที่ลดลงมาก แม้ปริมาณส่งออกจะขยายตัว 20%YoY (ขยายตัวสูงจากฐานที่ต่ำในปี 2567)ส่วนในปี 2569 คาดว่ามูลค่าส่งออกมันเส้นและมันอัดเม็ดจะอยู่ที่ 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือขยายตัว 9%YoY เพราะแม้ราคาส่งออกจะลดลง -5%YoYแต่ปริมาณส่งออกขยายตัวได้ 15%YoY อย่างไรก็ตามยังเป็นระดับมูลค่าส่งออกที่ไม่ได้สูงกว่าช่วง Peak ในช่วงปี 2564-2565เช่นเดียวกับมูลค่าส่งออกแป้งมันสำปะหลังในปี 2568 จะอยู่ที่ราว 2,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือหดตัว -15%YoY ซึ่งเป็นผลจากราคาส่งออก ที่ลดลงถึง -20%YoY แม้ปริมาณส่งออกจะขยายตัว 6%YoY ส่วนในปี 2569 คาดว่ามูลค่าส่งออกแป้งมันสำปะหลังจะอยู่ที่ 2,173 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือหดตัว -1%YoY โดยราคาส่งออกจะลดลง -5%YoY แม้ปริมาณส่งออกขยายตัว 4%YoY
ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้ง
ในปี 2568-2569 คาดว่า มูลค่าการส่งออกผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้งจะอยู่ที่ 6.9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และ 7.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือขยายตัว 7.5%YoY และ 9.1%YoY ตามลำดับ โดยมีปัจจัยสนับสนุนมาจากปริมาณผลผลิตผลไม้ของไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากสภาพอากาศและปริมาณน้ำที่เอื้ออำนวย ประกอบกับความต้องการบริโภคผลไม้เมืองร้อนของชาวจีนยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอีกทั้งคาดว่าการส่งออกจะได้รับประโยชน์จากการขนส่งผ่านรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว และการขนส่งผ่านด่านท่าเรือกวนเหล่ย ภายหลังทางการจีนเปิดด่านท่าเรือกวนเหล่ยเป็นด่านนำเข้าผลไม้สดจากต่างประเทศแห่งใหม่ในมณฑลยูนนานตั้งแต่วันที่ 29 ก.ค. 2567 เป็นต้นไป ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการขนส่ง และเพิ่มทางเลือกการขนส่งผลไม้ทางภาคเหนือของไทย
อย่างไรก็ดี การส่งออกผลไม้จากไทยไปจีนยังเผชิญปัจจัยท้าทายเกี่ยวกับมาตรฐานควบคุมการปนเปื้อนสารห้ามใช้ในทุเรียนสดที่ส่งออกไปจีนมีความเข้มงวดมากขึ้น โดยทางการจีนกำหนดมาตรการให้ทุเรียนที่ส่งออกจากไทยไปจีนจะต้องมีเอกสารรับรองการตรวจวิเคราะห์สาร Basic Yellow 2 และแคดเมียม ซึ่งหากพบสารต้องห้ามจะระงับการนำเข้าทันที โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 ม.ค. 2568
ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้า เพื่อให้ได้ตามมาตรฐานที่ประเทศคู่ค้ากำหนด เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันระยะยาว
ไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูป
ในปี 2568-2569 คาดว่า มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 4,528 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และ 4,844 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือขยายตัว 5.0%YoY และ 7.0%YoY ตามลำดับ และปริมาณการส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูปจะอยู่ที่ 1.20 ล้านตัน และ 1.24 ล้านตัน หรือขยายตัว 3.9%YoY และ 4.0%YoY ตามลำดับ เนื่องจากการส่งออกไปยังสหภาพยุโรปมีทิศทางฟื้นตัว ตามการเติบโตของการท่องเที่ยวและธุรกิจร้านอาหาร ส่งผลให้ความต้องการนำเข้าไก่แปรรูปเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับการส่งออกไก่ แปรรูปของไทยไปญี่ปุ่นที่ยังขยายตัว ตามพฤติกรรมของผู้บริโภคในญี่ปุ่นที่นิยมบริโภคอาหารพร้อมทาน
รวมทั้งการระบาดของไข้หวัดนกในญี่ปุ่นและสหภาพยุโรปจะช่วยหนุนการนำเข้าไก่เนื้อของไทยเพิ่มขึ้น สำหรับการส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งจะยังได้รับผลดีจากการระบาดของโรคไข้หวัดนกในจีน อีกทั้งยังได้รับผลดีจากการ
ระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ในจีนและเวียดนาม ทำให้มีการนำเข้าไก่เนื้อเพื่อทดแทนสุกรมากขึ้น อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการไทยอาจจะต้องแข่งขันกับบราซิล ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกไก่รายใหญ่ของโลกที่มีความได้เปรียบจากการเป็นผู้ผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และกากถั่วเหลืองรายใหญ่ ทำให้มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าไทย
สำหรับการส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งของไทยยังได้รับผลดีจากทางการจีนรับรองโรงงานผลิตและแปรรูปไก่แช่แข็งไทยเพิ่มอีก 3 โรง จากเดิมที่ได้รับการรับรองและส่งออกแล้ว 23 โรงงาน รวมเป็น 26 โรงงาน นอกจากนี้ ยังมีโอกาสในการขยายการส่งออกไปยังซาอุฯ เนื่องจากซาอุฯ เป็นประเทศผู้นำเข้าไก่รายใหญ่อันดับ 6 ของโลก ประกอบกับภาครัฐของไทยมีการส่งเสริมการส่งออกสินค้าไก่ ซึ่งเป็นไก่ฮาลาลไปยังซาอุฯ เพิ่มขึ้น หลังจากการยกระดับความสัมพันธ์ทางการทูตทั้ง 2 ประเทศ
นโยบายการค้าของสหรัฐฯ รอบใหม่อาจกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรไทยไปสหรัฐฯ
Krungthai COMPASS มองว่า แม้ในเบื้องต้นการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสหกรรมเกษตรน่าจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าสินค้าในภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากเป็นสินค้าที่จำเป็นต่อการบริโภค และสหรัฐฯ ผลิตในประเทศไม่เพียงพอ ทำให้ต้องพึ่งพาการนำเข้า แต่ยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิด โดยในการประเมินสินค้าที่อาจมีความเสี่ยงที่จะถูกปรับขึ้นภาษี มีการพิจารณา ดังนี้
กลุ่มที่ 1 สินค้าที่ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูงในกลุ่มสินค้าเกษตร เช่น ข้าว อาหารสัตว์เลี้ยง ปลา และยางพารา เนื่องจากในปี 2567 ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูง โดยสินค้ากลุ่มนี้คิดเป็นมูลค่า 2.9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 54% ของการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรไทยไปสหรัฐฯ ทั้งหมด
กลุ่มที่ 2 สินค้าที่ไทยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยของการส่งออกไปสหรัฐฯ สูง แม้จะเกินดุลการค้าไม่มากนัก เช่น สิ่งปรุงรสอาหาร และน้ำผลไม้ ซึ่งอาจนำไปสู่การกำหนดมาตรฐานการตรวจสอบสินค้าที่เข้มงวดมากขึ้น โดยสินค้ากลุ่มนี้คิดเป็นมูลค่า 470ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 9% ของการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรไทยไปสหรัฐฯ ทั้งหมด
Implication
Krungthai COMPASS มองว่า แม้การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในปี 2568 จะขยายตัวได้ แต่มีปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ดังนี้
นโยบายการค้าของสหรัฐฯ รอบใหม่อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรไทยไปสหรัฐฯ โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่ไทยที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูง หรือมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยของการส่งออกไปสหรัฐฯ สูง ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงอยู่อาจกระทบต่อต้นทุนการส่งออก ทำให้ผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรของไทยยังได้รับแรงกดดันจากต้นทุนค่าขนส่งทางเรือที่แม้มีแนวโน้มลดลงในปี 2568 แต่ยังคงอยู่ในระดับที่สูง นอกจากนี้ หากสถานการณ์ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์มีความรุนแรงมากขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อสินค้าไทยที่พึ่งพาตลาดตะวันออกกลางในสัดส่วนที่สูง เช่น สินค้าในกลุ่มข้าว อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เป็นต้น ต้นทุนค่าจ้างแรงงานที่ปรับเพิ่มขึ้น กดดันอัตรากำไรของผู้ประกอบการสินค้าเกษตรและอาหาร โดยการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2568 กำหนดให้ 4 จังหวัด ได้แก่ ภูเก็ต ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง กับ 1 อำเภอ (เกาะสมุย สุราษฎร์ธานี) มีค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทต่อวัน ซึ่งอาจกระทบต่อผู้ประกอบการ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่ใช้แรงงานเข้มข้นอย่างอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้ง เป็นต้น
กฎระเบียบทางการค้าด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศคู่ค้าที่เข้มงวด เช่น กฎหมายที่ห้ามนำเข้าหรือส่งออกสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำลายป่าไม้เข้าสู่ตลาดของสหภาพยุโรป (EU Deforestation-free products: EUDR) ที่จะมีผลบังคับใช้จริงตั้งแต่ 30 ธ.ค. 2568 สำหรับบริษัทขนาดใหญ่ และ 30 มิ.ย. 2569 สำหรับบริษัท SMEs ซึ่งอาจทำให้ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะในกลุ่มยางพารา และปาล์มน้ำมันมีต้นทุนจากการดำเนินการตาม EUDR ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การแข่งขันในตลาดส่งออกทวีความรุนแรง เนื่องจากอุปทานสินค้าพืชเกษตรเพิ่มขึ้นตามสภาพอากาศที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติทำให้ผลผลิตสินค้าเกษตรในหลายประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย ส่งผลให้ความกังวลเกี่ยวกับปัญหาความมั่นคงทางอาหารของหลายประเทศบรรเทาลง ตัวอย่างเช่น การที่อินเดียประกาศยกเลิกนโยบายจำกัดการส่งออกข้าว หลังจากประเมินว่าผลผลิตภายในประเทศมีเพียงพอต่อการบริโภคในประเทศ จากสภาพอากาศที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ เช่นเดียวกับฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียที่มีนโยบายชะลอการนำเข้าข้าว เนื่องจากความกังวลด้านความมั่นคงทางอาหารที่บรรเทาลง จากผลผลิตในประเทศที่เพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงนโยบายดังกล่าวส่งผลให้ความต้องการนำเข้าข้าวในตลาดโลกลดลง ขณะที่อุปทานข้าวในตลาดโลกเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจกลายเป็นปัจจัยที่กดดันราคาข้าวตลาดโลกในอนาคต